ครม. อัดงบเพิ่ม 1.50 หมื่นลบ. เดินหน้า 2 โครงการระบบส่งไฟฟ้า EEC
ครม. อนุมัติเพิ่มวงเงินลงทุนกว่า 1.5 หมื่นลบ. เดินหน้า 2 โครงการระบบส่งไฟฟ้า เพื่อเพิ่มความมั่นคงทางพลังงานในพื้นที่ EEC
นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้อนุมัติเพิ่มวงเงินลงทุนจำนวน 2 โครงการ รวมวงเงิน 15,200 ล้านบาท ประกอบด้วย
1.โครงการปรับปรุงระบบส่งไฟฟ้าบริเวณภาคตะวันออกเพื่อเสริมความมั่นคงระบบไฟฟ้า (โครงการ TIPE) เพิ่มวงเงินลงทุนจำนวน 9,000 ล้านบาท จากเดิมที่อนุมัติไว้ 12,000 ล้านบาท รวมวงเงินลงทุนโครงการทั้งสิ้น 21,000 ล้านบาท
2.โครงการระบบส่งไฟฟ้าเพื่อรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่ ระยะที่ 3 (โครงการ IPP3) เพิ่มวงเงินลงทุนจำนวน 6,200 ล้านบาท จากเดิมที่อนุมัติไว้ 7,250 ล้านบาท รวมวงเงินลงทุนโครงการทั้งสิ้น 13,450 ล้านบาท โดยใช้วงเงินงบประมาณลงทุนในปี 2564 และปี 2565 ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ
ทั้งนี้โครงการปรับปรุงระบบส่งไฟฟ้าบริเวณภาคตะวันออกเพื่อเสริมความมั่นคงระบบไฟฟ้า (โครงการ TIPE) มีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงระบบไฟฟ้าให้สามารถรองรับโรงไฟฟ้าได้เพิ่มขึ้น และแก้ไขข้อจำกัดด้านระบบกระแสลัดวงจรในระยะยาว คาดว่าจะก่อสร้างสายส่งไฟฟ้าแรงสูงและสถานีไฟฟ้าแรงสูงแล้วเสร็จภายในเดือนธันวาคม 70 ปัจจุบัน มีสายส่งไฟฟ้าแรงสูงที่ก่อสร้างเสร็จแล้ว 2 แห่ง อยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้างอีก 5 แห่ง
ส่วนโครงการระบบส่งไฟฟ้าเพื่อรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่ ระยะที่ 3 (โครงการ IPP3) มีวัตถุประสงค์เพื่อเชื่อมโยงโรงไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่ ระยะที่ 3 ปริมาณ 5,000 เมกะวัตต์ เข้ากับระบบของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการจัดส่งไฟฟ้าไปยังภาคตะวันออกและภาคกลาง คาดว่าจะก่อสร้างสายส่งไฟฟ้าแรงสูงและสถานีไฟฟ้าแรงสูงแล้วเสร็จภายในเดือนมีนาคม 2566 เพื่อรองรับการจ่ายไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าบริษัทเอกชนที่ผ่านการคัดเลือก ซึ่งมีกำหนดจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ในวันที่ 31 มีนาคม 2566 ปัจจุบัน กำลังดำเนินการก่อสร้างสายส่งไฟฟ้าแรงสูง 3 แห่ง
สำหรับความจำเป็นที่ต้องปรับเพิ่มวงเงินลงทุนในครั้งนี้ เนื่องจากพื้นที่ดำเนินการก่อสร้างระบบโครงข่ายไฟฟ้าของทั้ง 2 โครงการ อยู่ในพื้นที่จังหวัดชลบุรี ระยอง และฉะเชิงเทรา ซึ่งเป็นพื้นที่โครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ทำให้ราคาที่ดินและทรัพย์สินที่ต้องนำมาใช้ในการคำนวณค่าทดแทนกรรมสิทธิ์ที่ดินและทรัพย์สินปรับเพิ่มขึ้น จึงต้องนำราคาประเมินทุนทรัพย์ที่ดิน ปี 2559 – 2562 ที่ยังมีผลบังคับใช้ในปี 2563 ในอัตรา 7.45 เท่า มาใช้เป็นเกณฑ์ในการคำนวณค่าทดแทนตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานกำหนด ทำให้ค่าทดแทนมีราคาสูงกว่าราคาที่ประมาณการไว้ กระทรวงพลังงานจึงต้องเสนอเพิ่มวงเงินลงทุนดังกล่าว