โบรกเชียร์ “ซื้อ” LEO เป้าสูงสุด 22.50 บ. ลุ้น Q1 กำไรนิวไฮ รับขนส่งทางเรือ-แอร์เฟรทหนุน
3 โบรกเชียร์ “ซื้อ” LEO เป้าสูงสุด 22.50 บ. คาดกำไรไตรมาส 1-2 เติบโตทำนิวไฮต่อเนื่อง รับค่าระวางเรือ-แอร์เฟรทหนุน พร้อมเล็งออกหุ้นกู้แปลงสภาพและวอร์แรนท์ ช่วยเพิ่มกระแสเงินสดหวังขยายธุรกิจ ผลักดันกำไรในอนาคตโตแกร่งต่อเนื่อง
บริษัท ลีโอ โกลบอล โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ LEO ซึ่งเป็นผู้ให้บริการโลจิสติกส์อย่างครบวงจรที่ครอบคลุมทั่วโลก และให้บริการสนับสนุนการขนส่งสินค้าแบบครบวงจร พบว่า มีทางโบรกเกอร์หลายแห่งออกบทวิเคราะห์มีการเชียร์ซื้อเป็นส่วนใหญ่เนื่องจากประเมินว่าผลประกอบการจะเติบโตอย่างโดดเด่น คาดว่ากำไรยังทำจุดสูงสุดต่อเนื่องในไตรมาส 1/2565 จนถึงไตรมาส 2/2565 พร้อมการเข้าทำ M&A บริษัทขนส่งเพิ่ม
เช่นกรณีการประเมินของ บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์ว่ายังคงแนะนำ ”ซื้อ” LEO ให้ราคาเป้าหมาย 22.50 บาท เนื่องจากมองว่าเงินทุนรอบใหม่ ช่วยเร่งโอกาสเติบโตก้าวกระโดด โดยการเติบโตของกำไร LEO ขับเคลื่อนโดยทั้งธุรกิจเดิมที่ดีอยู่แล้ว คือ การขนส่งทางเรือ และอากาศ ทั้งที่ทำกับ China Post และเพิ่งซื้อ WA เข้ามาเติม และธุรกิจใหม่ พร้อมการเข้าทำ M&A บริษัทขนส่งเพิ่ม รวมถึงการเริ่มธุรกิจขนส่งทางรางข้ามประเทศ และปัจจัยชี้นำอื่นๆ ที่สำคัญ อาจมาจากปัญหาระหว่างรัสเซียและยูเครน ทำให้ราคาน้ำมันสูงขึ้น จึงหนุนค่าระวางเรือสูงขึ้นไปอีก อย่างน้อยจึงคาดกำไรทำ new high ไปจนถึงไตรมาส 2/2565
ส่วนประเด็นการออกหุ้นกู้แปลงสภาพ (CB) และ warrant (LEO-W1) ทางฝ่ายวิจัยมองว่าเป็นไอเดียด้านการเงินที่ดีเยี่ยม กระทบราคาเป้าหมายน้อยมาก แต่อีกด้านช่วยเพิ่มกระแสเงินสดขยายธุรกิจอย่างมาก โดยหากให้สมมติฐานใช้เงิน 70% จาก CB และมีการแปลง warrant จะเป็น upside ต่อกำไร 21-28% ในระยะยาว ขณะที่ dilution แค่ 12%
ขณะเดียวกัน บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบีเอสที จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์ว่ายังคงคำแนะนำ “ซื้อ” LEO โดยปรับราคาเป้าหมายขึ้นเป็น 22 บาท อิง PER อยู่ที่ 27 เท่า (peers avg. เทรดอยู่ที่ 23.7 เท่า) ซึ่งมองเป็นบวกต่อการประชุม Analyst meeting ประเด็นสำคัญ ได้แก่ ผู้บริหารคาดว่าค่าระวางมีโอกาสปรับตัวขึ้นต่อในช่วง high season ในไตรมาส 3/2565 และมองค่าเฉลี่ยทั้งปีจะคงระดับสูง
ส่วนรายได้ไตรมาส 1/2565 ยังคงทำ new high ต่อเนื่อง ซึ่งยังคงเป้ารายได้ปี 2565 เติบโต 30-35% และคาดว่า volume ของขนส่งทางทะเลโต 15-20% ขณะที่ volume ของขนส่งทางอากาศโต 25-30% หลังควบรวมกับบริษัท World Air ขณะที่ขนส่งทางรางยังอยู่ในช่วงทดลอง คาดว่าจะเริ่มขนส่งจริงในช่วงปลายไตรมาส 2/2565 รวมทั้งบริษัทอยู่ระหว่างการเจรจาดีล M&A กับบริษัทในอินโดนิเซีย และเวียดนาม ปรับประมานการกำไรปี 2565 ขึ้น 13% มาที่ 265 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 33% จากงวดเดียวกันปีก่อน และกำไรในปี 2566 ขึ้น 14% มาที่ 290 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9% จากงวดเดียวกันปีก่อน ตามลำดับ ซึ่งมองบวกมากขึ้นต่อค่าระวางเรือที่คาดว่าจะอยู่ในระดับสูงใกล้เคียงปี 2564
นอกจากนี้ได้รวมผลประโยชน์จากการควบรวมกับบริษัท World Air เข้ามา (ปี 2564 มีกำไรราว 50 ล้านบาท) และคาดว่าจะช่วยหนุนรายได้การขนส่งทางอากาศให้โตได้ที่ 30% จากงวดเดียวกันปีก่อน ส่วนการขนส่งทางรางร่วมกับ China post อาจมีความล่าช้า เนื่องจาก infrastructure ของทางจีนยังไม่รองรับประเมินรายได้ในปี 2565 อยู่ที่ 100 ล้านบาท จากการขนส่ง 1 พันตู้ ราคาหุ้น outperform เพิ่มขึ้น 23% ในช่วง 3 เดือน และเพิ่มขึ้น 26% ในช่วง 6 เดือน
อย่างไรก็ดีบริษัทฯยังมีจุดแข็งจากกำไรที่คาดว่าจะยังทำ new high ได้ต่อเนื่อง และยังมีโอกาสทำ M&A ในต่างประเทศอีก 1-2 ดีล อย่างไรก็ตาม Key risk คือค่าระวางอาจปรับตัวลงได้หาก port congestion เริ่มคลี่คลาย
พร้อมด้วย บริษัทหลักทรัพย์ ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์ว่ายังคงแนะนำ “ซื้อ” LEO ให้ราคาเป้าหมาย 22 บาท อิงวิธี P/E ที่ 25 เท่า บนสมมุติฐานประมาณการรายได้อย่างระมัดระวังอยู่ที่ 4.5 พันล้านบาท และอัตรากำไรขั้นต้นที่ 19% โดยในระยะสั้นคาดว่ากำไรของ LEO ยังทำจุดสูงสุดต่อเนื่องในไตรมาส 1/2565 จนถึงไตรมาส 2/2565
ทั้งนี้ การประมาณการกำไรปี 2565 ไม่รวมโอกาสจาก M&A ที่เข้ามา ซึ่งคาดว่าตลาดจะปรับเพิ่มประมาณการกําไรสุทธิ และราคาเป้าหมายขึ้นมาใกล้เคียงกับที่ฝ่ายวิจัยประเมินไว้
อย่างไรก็ดี นายเกตติวิทย์ สิทธิสุนทรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร LEO ได้กล่าวว่า ยอดขายของบริษัทในไตรมาส 1/2565 ยังคงเป็นนิวไฮอย่างต่อเนื่อง และคาดการณ์ว่าจะสามารถสร้างนิวไฮได้อย่างต่อเนื่องในไตรมาส 2/2565 เนื่องจากอัตราค่าระวางเรือจากประเทศไทยไปยังสหรัฐอเมริกาและยุโรปที่เป็นตลาดส่งออกสำคัญของประเทศไทยมีการปรับตัวลดลงเพียงเล็กน้อยระดับ 5-7% เท่านั้น ไม่ได้ปรับตัวลดลงถึงระดับ 40% ของ SCFI INDEX
โดย SCFI จะเป็นอัตราค่าระวางเรือที่ออกจากประเทศจีนและได้รับผลกระทบโดยตรงจากการ Locked Down ในเมืองท่าหลักๆ และทางบริษัทเชื่อมั่นว่าตั้งแต่เดือนพฤษภาคมเป็นต้นไป อัตราค่าระวางเรือจะกลับมาเติบโตอย่างต่อเนื่อง เพราะเป็นฤดูกาลใหม่ของการส่งออกทั่วโลก และสินค้าในประเทศจีนที่ไม่ได้ถูกส่งออกในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา จะเป็นตัวเร่งที่ทำให้ความต้องการของตู้และสเปซบนเรือเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและทำให้อัตราค่าระวางเรือสูงขึ้น