เปิดโผ 8 หุ้นเด่นน่าลงทุน Q2 โบรกยันเป้าดัชนีปีนี้ 1,800 จุด
เปิดโผ 8 หุ้นเด่น AOT, MINT, PTT, GPSC, BH, CPALL, ADVANCE และ BEM น่าลงทุนไตรมาส 2 โบรกยืนเป้าหมายดัชนีปีนี้อยู่ที่ระดับ 1,800 จุด
บริษัทหลักทรัพย์ ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด จัดสัมมนาออนไลน์หัวข้อ “สู่การลงทุนเหนือชั้น ฝ่ายุค Digital-Metaverse–EV” เมื่อวันที่ 20 เมษายน 2565 โดย นายธนวัฒน์ ปัจฉิมกุล ผู้อำนวยการบริหาร ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุนต่างประเทศ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) กล่าวในหัวข้อ “DBS CIO Insight 2Q22 Anchor in the Storm” ว่า แม้เศรษฐกิจจะได้รับผลกระทบทางลบจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงและเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น แต่กิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้นจะเป็นปัจจัยหนุนการฟื้นตัว และลดความเสี่ยงของภาวะอัตราเงินฝืดหรือ “Stagflation”
ทั้งนี้ ธนาคารดีบีเอสและฝ่ายวิจัยได้ปรับเพิ่มน้ำหนักลงทุนในหุ้นจีนเป็น “Overweight” หลังจากที่รัฐบาลประกาศนโยบายหนุนเศรษฐกิจและหุ้นจีนราคาไม่แพง พร้อมกับแนะหุ้นกลุ่ม “Quality” และตราสารหนี้กลุ่ม Investment Grade ในประเทศพัฒนาแล้ว โดยหุ้นที่เป็น ธีมเด่นคือกลุ่มเฮลท์แคร์ (Healthcare) และการลงทุนทางเลือก เช่น โครงสร้างพื้นฐานและทองคำ
ส่วนมุมมองต่อภาพรวมเศรษฐกิจปี 2565 ประเมินว่า เงินเฟ้อสูงยัง สร้างแรงกดดันต่อธนาคารกลาง โดยฝ่ายวิจัยบล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) คาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐหรือ เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 7 ครั้งในปี 2565 และธนาคารกลางยุโรปหรือ ECB จะหยุดทำคิวอี
โดยธนาคารดีบีเอส และฝ่ายวิจัย บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) คาดการณ์อัตราการขยายตัวเศรษฐกิจของไทยในปีนี้จะเติบโต 3.50% ส่วนปีหน้าจีดีพีขยายตัว 4.20% ส่วนประเทศสหรัฐอเมริกาประเมินว่าจีดีพีปีนี้โต 3% ส่วนปีหน้า 20% ด้านประเทศจีนประเมินจีดีพีปีนี้ 5.30% ปีหน้า 5% และประเทศในยุโรปจะมีอัตราการขยายตัวของจีดีพี 3% ขณะที่ปีหน้า 2.50%
“เศรษฐกิจประเทศขนาดใหญ่ เช่น สหรัฐ จีน ยุโรปอินเดีย จะเติบโตชะลอลง ขณะที่ ขณะที่เศรษฐกิจหลายประเทศที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดรุนแรงของสถานการณ์โควิด-19 ในปี 2564 จะฟื้นตัวเร่งขึ้นในปีนี้ เช่น ญี่ปุ่น กลุ่ม ASEAN หลายประเทศยกเว้นสิงคโปร์” นายธนวัฒน์ กล่าว
อย่างไรก็ตามแม้ภาพรวมเศรษฐกิจจะได้รับผลลบจากราคาน้ำมันสูงและเงินเฟ้อเร่งตัวขึ้น แต่กิจกรรมทางเศรษฐกิจยังฟื้นตัวต่อ จากสถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19 ที่คลี่คลาย และการฟื้นตัวของภาคบริการเช่นการเดินทาง ท่องเที่ยว จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจให้มีการขยายตัว
ส่วนแนวโน้มอัตราแลกเปลี่ยน ประเมินค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ ยังมีแนวโน้มแข็งขึ้นจากการขึ้นดอกเบี้ยของเฟด และสถานการณ์ยูเครน ทำให้นักลงทุนโยกไปถือเงินดอลลาร์ ซึ่งเป็น Safe haven ขณะที่ดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐ (Fed fund rate) จะเพิ่มขึ้นมาที่ 2.50% ในปลายปีนี้ และ 3.50% ในช่วงกลางปีหน้า หนุนโดยเงินเฟ้อที่ยังอยู่ในระดับสูง
สำหรับปัจจัยเสี่ยงที่ต้องระวัง ประกอบด้วยความผันผวนจากอัตราแลกเปลี่ยน การเปลี่ยนแปลงนโยบายรัฐบาล เทคโนโลยี รวมทั้งสภาวะเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม
ขณะเดียวกันนางสาวอาภาภรณ์ แสวงพรรค ผู้อำนวยการบริหาร ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) กล่าวว่า ทิศทางการลงทุนในปีนี้ยังคงยืนเป้าหมายดัชนีอยู่ที่ระดับ 1,800 จุด อิงกับค่าพีอีเรโชว์ 18.90 เท่า
โดยตั้งแต่ต้นปี 2565 จนถึงสิ้นสุดวันที่ 12 เมษายน 2565 นักลงทุนต่างชาติกลับมามียอดซื้อสุทธิ 1.10 แสนล้านบาท จากช่วง 5 ปีย้อนหลัง คือ ปี 2560-2564 นักลงทุนต่างชาติมียอดขายสุทธิทุกปี รวมขายสุทธิสะสมเท่ากับ 6.70 แสนล้านบาท
ส่วนภาพรวมการลงทุนในไตรมาส 2/2565 นางสาวอาภาภรณ์ คาดว่า ดัชนีหุ้นยังผันผวน โดยได้รับผลกระทบจากอัตราเงินเฟ้อที่สูงจากต้นทุนผลัก (Cost Push) ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีโอกาสปรับเพิ่มดอกเบี้ยอัตรา 0.50% ในการประชุม 3-4 พ.ค.นี้ สงครามรัสเซียกับยูเครนที่ยืดเยื้อ รวมทั้งการขึ้นเครื่องหมาย XD หุ้นจำนวนมากในช่วงเดือนเม.ย.-พ.ค. ขณะที่โควิดยังแพร่ระบาดต่อเนื่อง และหนี้ภาคครัวเรือนสูง อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นในช่วงไตรมาส 2/2565 ยังมีปัจจัยสนับสนุนจากการเปิดเมือง เปิดประเทศ (Reopening) เงินสะพัดจาการหาเสียงเลือกตั้ง รวมถึงการที่ไทยได้รับผลกระทบจากสงครามรัสเซีย-ยูเครนโดยตรงไม่มากนัก กลยุทธ์การลงทุน เน้นสร้างพอร์ตให้มีคุณภาพแข็งแกร่งและเติบโตได้ยั่งยืนในระยะยาว โดยเลือกซื้อสะสมหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดีในจังหวะราคาหุ้นอ่อนตัว
สำหรับธีมการลงทุนในปีนี้ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) แนะนำเลือกลงทุน ธุรกิจในโลกอนาคต หรือเมตาเวิร์ส ซึ่งถือเป็นเมกะเทรนด์ที่กำลังมาแรงทั่วโลก ธุรกิจที่รับประโยชน์จากยานยนต์ไฟฟ้า(EV) ที่มีแนวโน้มเติบโตแข็งแกร่ง หุ้นกลุ่มเฮลท์แคร์ (Healthcare) เนื่องจากสังคมสูงวัยที่มีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ส่งผลให้ความต้องการสินค้าและบริการด้านสุขภาพเพิ่มขึ้น กลุ่มธนาคารและประกันที่ได้อานิสงค์จากอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น กลุ่มสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน รวมทั้งกลุ่มท่องเที่ยวที่ทยอยฟื้นตัว หากไม่มีโควิดสายพันธ์ใหม่ที่รุนแรงเข้ามาเพิ่ม
ด้านนายสมบัติ เอกวรรณพัฒนา ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) กล่าวว่า บริษัทได้คัดสรรหลักทรัพย์ที่ได้ประโยชน์จากธีมการลงทุนเด่นในไตรมาส 2/2565 โดยหุ้นที่ข้องกับการท่องเที่ยวฟื้นตัว แนะนำ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT ราคาเป้าหมายอยู่ที่ 75 บาท จากการที่ประเทศไทยและทั่วโลกทยอยผ่อนคลายข้อจำกัดในการเดินทางเข้าประเทศ ส่งผลให้ธุรกิจบริหารสนามบินกลับมาฟื้นตัวได้เร็ว
ส่วนธุรกิจที่ได้รับผลดีจาการฟื้นตัวทั้งในประเทศและต่างประเทศ แนะนำ บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT ราคาเป้าหมาย 40 บาท จากผลประกอบการพลิกกำไรในไตรมาส 4 ปี 2564 เนื่องจากโรงแรมมีการเข้าพักมากขึ้นทั้งในไทย มัลดีฟส์ และยุโรป โดยประเมินว่าการเดินทางจะกลับมาฟื้นตัวได้ตั้งแต่ไตรมาส 1/2565 ขณะที่ NH Hotel เข้าสู่ High Season ในไตรมาส 2/2565 ซึ่งคาดว่าผลประกอบการในไตรมาส 2/2565 หรือครึ่งปีหลัง 2565 จะมีกำไรกลับมาเท่ากับช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดโควิด-19
ขณะที่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT ยังเป็นหุ้นดีตามราคาน้ำมัน และ EV CAR ในอนาคต แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 57.50 บาท ขณะที่ราคาน้ำมันดิบแข็งแกร่งจาก ปัจจัยสงครามรัสเซียและยูเครน ปรับเพิ่มสมมติฐานราคาน้ำมันดิบ BRENT ทำให้คาดการณ์กำไรสุทธิปี 2565 เพิ่มขึ้นจากเดิม 20% ส่วนปี 2566 เพิ่มขึ้นจากเดิม 15%
นอกจากนี้ยังแนะนำให้ลงทุนหุ้น บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC โดยกำหนดราคาเป้าหมายที่หุ้นละ 90 บาท เนื่องจากได้รับผลดีจากอุปสงค์ไฟฟ้าฟื้นตัวและธุรกิจแบตเตอรี่รถ EV รวมทั้งยอดขายไฟฟ้าและไอน้ำเพิ่มตามดีมานด์ลูกค้าอุตสาหกรรมฟื้นตัว และในปี 2565 จะมีการทยอย บุ๊กส่วนแบ่งกำไรโซลาร์ฟาร์ม Avaada ในอินเดียที่ถือหุ้น 41.6% นอกจากนี้บริษัทยังจะมีการบันทึกกำไรขายโรงไฟฟ้าที่ญี่ปุ่นประมาณ 600 ล้านบาทในไตรมาส 1/2565
ด้านบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ ADVANC ยังเป็นหุ้นโดดเด่นในกลุ่มเทคโนโลยี, Domestic Play ราคาเป้าหมาย 250 บาท เป็นอีกหุ้นที่ฟื้นตัวตามเศรษฐกิจไทย เน้นธุรกิจในประเทศ ได้ประโยชน์จากการควบรวมกิจการ TRUE-DTAC ทำให้สถานการณ์แข่งขันลดลง
บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPALL เป็นหุ้นที่คาดการณ์กำไรปีนี้โตโดดเด่น ราคาเป้าหมาย 75.25 บาท ปีนี้คาดกำไรเติบโต 81% และปี 2566 โตต่ออีก 21% ปัจจัยหนุนมาจากการฟื้นตัวของการบริโภคในประเทศ ปรับราคาสินค้าขึ้นตามเงินเฟ้อ, มีรายได้จาก Lotus มาเสริม มีแพลตฟอร์มการขายใหม่ๆ
บริษัท โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BH เป็นหุ้นที่ได้ประโยชน์จากการเปิดประเทศและธุรกิจได้ผ่านจุดต่ำสุดมาแล้วในปี 2564 แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 175 บาท โดยคาดกำไรสุทธิไตรมาสแรก ปี 2565 จะเติบโตทั้งจากงวดเดียวกันของปีก่อนและจากไตรมาสก่อน และประมาณการว่ากำไรปี 2565 จะเติบโต 113% จากงวดเดียวกันของปีก่อน ส่วนปี 2566 จะเติบโต 39% จากงวดเดียวกันของปีก่อน โดยกำไรกลับไปสู่ระดับก่อนโควิดได้ในปี 2566
บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM โดดเด่นจากรถไฟฟ้า ทางด่วนฟื้นตัว แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 10 บาท แนวโน้มไตรมาส 1/2565 ฟื้นตัวต่อเนื่อง จากปริมาณการใช้ทางด่วน-รถไฟฟ้า คาดว่ารายได้ปี 2565 โตดี 26%
ด้านนายสมนึก จันทร์รัสมี ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) กล่าวว่า ภาพรวมดัชนีหุ้น ในส่วนของภาพหลัก “ไม่เปลี่ยน” โดยยังเป็น “ขาลง”ในระยะกลาง ดังนั้น ทิศทางหลักจึงเป็น “การปรับตัวลง” หากจะมีการปรับขึ้นจะมีนัยสำคัญแค่การรีบาวด์ฯทางเทคนิคเท่านั้น เนื่องจากดัชนีหุ้นในช่วงที่ผ่านๆมา ยังขาดแรงส่งในทางบวกหรือยังตกอยู่ใต้อิทธิพลด้านลบ (Overbought + Divergence) ด้วยปัจจัยดังกล่าวจะส่งผลให้ทิศทางตลาดฯในไตรมาส 2/2565 มีทิศทางของการอ่อนตัวลงโดยมี “แนวรับ (ย่อย)” ที่มีโอกาสถูกทดสอบจะอยู่ที่ระดับ 1,640, 1,620 จุด หรืออาจถึง 1,600 – 1,580 จุด
สำหรับกลยุทธ์การเก็งกำไร กรณีดัชนีสูงกว่า 1,700 จุด ให้เน้น “ซื้อค่าบวก” เพื่อลุ้น หรือ“รอขาย” ที่แนวต้าน 1,710 – 1,720, (1,750) จุด แต่ถ้ากรณีดัชนีต่ำกว่า 1,700 จุด, เน้น “ซื้ออ่อนตัว” ที่ 1,640, 1,620 หรือ 1,600 – 1,580 จุด เพื่อลุ้น / รอขาย เมื่อมีการปรับขึ้นตามมา
ขณะที่นายพงศ์ภัทร สิริพิพัฒน์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) กล่าวว่า มุมมอง SET50 ตลาดยังคงมีความเสี่ยงขาลง หากยังไม่สามารถกลับไปยืนเหนือ 1,010-1,015 ได้ ยังมีโอกาสที่จะเป็นจุดเริ่มต้นของการแกว่งตัวลงในระยะกลาง ลงทดสอบ 960 หรือต่ำกว่าได้ ต้องขึ้นไปยืนเหนือจึงจะยกเลิกมุมมองดังกล่าว เชิงปัจจัย การขึ้นดอกเบี้ยเร็วของเฟดและการลดขนาดงบดุลยังเป็นปัจจัยกดดันตลาดหุ้นในระยะกลางจนกว่าจะเห็นเงินเฟ้อพีค
โดยในส่วนของการลดขนาดงบดุล ต้องติดตามว่าจะเป็นการปล่อยให้หมดอายุหรือขายออกมาในตลาด หากเป็นกรณีหลังจะกดดันตลาดได้สูง ส่วนประเด็นเรื่องยูเครน-รัสเซีย จุดเปลี่ยนที่สำคัญอยู่ที่ขอบเขตความขัดแย้งจะขยายตัวไปจนถึงสวีเดน-ฟินแลนด์ที่จะเข้าร่วมนาโต้หรือไม่ หากเข้าร่วมได้สำเร็จจะเป็นปัจจัยที่แพร่ขยายพื้นที่รบของสงครามได้และเป็นความเสี่ยงสูงต่อตลาดหุ้น ส่วนจีนลด RRR เป็นบวกต่อตลาดได้ในระยะสั้น
ส่วนทองคำ การปรับตัวลงมีแนวรับที่ไม่ควรต่ำกว่าที่ 1,960/1,915 จึงจะยังเป็นการแกว่งตัวขึ้น หากหลุดต่ำกว่าแนวรับสองจะพักฐานนานหรือจบรอบ ส่วนการขึ้นมีแนวต้านที่ 2,010 กับ 2,070 การทะลุ 2,070 ได้จึงจะขึ้นรอบใหม่ มิฉะนั้นตอนนี้ยังแกว่งตัวในกรอบ
สำหรับค่าเงินบาท ทิศทางค่าเงินบาทระยะกลางหากทะลุ 34 ได้จะขึ้นหรืออ่อนค่ารอบใหม่ หากพักฐานต้องไม่หลุดต่ำกว่า 33.20 จึงจะเป็นการแกว่งตัวขึ้นเพื่อทะลุ 34 โดยส่วนต่างดอกเบี้ยของไทยกับสหรัฐ ที่เฟดจะขึ้นดอกเบี้ยอีก 6 ครั้งในช่วงที่เหลือของปีและการทำ QT จะส่งผลให้บาททิศหลักยังเป็นการอ่อนค่าต่อเนื่อง ตอนนี้แกว่งตัวเพื่อรอเบรกทะลุ 34 หากยังไม่หลุด 33.20