จับตา CEYE เทรดสนั่น! ลุ้นทะลุ 4 บ. ปักธงผู้นำครีเอทีฟโฆษณา

จับตา CEYE เทรดสนั่น! ลุ้นวิ่งทะลุ 4 บ. ปักธงผู้นำครีเอทีฟโฆษณา สู่ความยั่งยืน ส่งซิกผลงานไตรมาส 1/65 โตต่อเนื่อง


นายประพันธ์ เจริญประวัติ ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) เปิดเผยว่า ตลาดหลักทรัพย์ mai ยินดีต้อนรับ บริษัท ตาชำนิ จำกัด (มหาชน) หรือ CEYE เข้าจดทะเบียนและเริ่มซื้อขายใน mai ภายใต้กลุ่มบริการ โดยใช้ชื่อย่อในการซื้อขายหลักทรัพย์ว่า “CEYE” ในวันที่ 29 เมษายน 2565

สำหรับกลุ่ม CEYE ประกอบธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสื่อโฆษณา สื่อโทรทัศน์และภาพยนตร์ โดยให้บริการผลิตภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหวแบบครบวงจร การบริการตกแต่งภาพด้วยคอมพิวเตอร์ บริการสื่อออนไลน์และบริหารสื่อออนไลน์ มีบริษัทย่อย คือบริษัท ไม้ยืนต้น จำกัด ดำเนินธุรกิจให้เช่าสตูดิโอสำหรับการถ่ายภาพยนตร์ โฆษณา และรายการโทรทัศน์ ปัจจุบันมีสตูดิโอให้เช่า 5 สตูดิโอ สำหรับกลุ่มลูกค้ามีทั้งเอเจนซีโฆษณาและเจ้าของผลิตภัณฑ์ ทั้งในประเทศและต่างประเทศในแถบเอเชีย เช่น มาเลเซีย อินโดนีเซีย เวียดนาม สิงคโปร์ และจีน เป็นต้น สัดส่วนรายได้ในปี 2564 มาจากบริการผลิตภาพนิ่ง 50% บริการผลิตภาพเคลื่อนไหว 27% บริการตกแต่งภาพด้วยคอมพิวเตอร์ 12% การให้เช่าสตูดิโอ 4% และบริการอื่น 7%

โดย CEYE มีทุนชำระแล้ว 135 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท ประกอบด้วยหุ้นสามัญเดิม 200 ล้านหุ้นและหุ้นสามัญเพิ่มทุน 70 ล้านหุ้น โดยเสนอขายต่อบุคคลตามดุลยพินิจของผู้จัดจำหน่ายหลักทรัพย์ 52.50 ล้านหุ้น เสนอขายต่อผู้มีอุปการคุณของบริษัทและบริษัทย่อย 10.50 ล้านหุ้น และเสนอขายต่อกรรมการ ผู้บริหาร และ/หรือพนักงานของบริษัท 7 ล้านหุ้น เมื่อวันที่ 20 – 22 เมษายน 2565 ในราคาหุ้นละ 3.86 บาท คิดเป็นมูลค่าระดมทุน 270.20 ล้านบาท มูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO 1,042.20 ล้านบาท

ทั้งนี้การกำหนดราคาเสนอขายหุ้น IPO คิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E ratio) ที่ 36.64 เท่า คำนวณจากกำไรสุทธิใน 4 ไตรมาสล่าสุด (ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2564 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2564) ซึ่งเท่ากับ 28.45 ล้านบาท หารด้วยจำนวนหุ้นสามัญทั้งหมดภายหลังการเสนอขายหุ้นครั้งนี้ (fully diluted) คิดเป็นกำไรสุทธิต่อหุ้น 0.105 บาท โดยมี บริษัท แคปปิตอล วัน พาร์ทเนอร์ จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงินและบริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่ายหุ้นสามัญ

ขณะเดียวกันนางสาวสุวรรณี สุวรรณแสงโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ CEYE เปิดเผยว่า บริษัทมุ่งเน้นการให้บริการผลิตสื่อโฆษณาแบบครบวงจร ตั้งแต่ขั้นตอนการคิดสร้างสรรค์งานตามความต้องการและงบประมาณของลูกค้า เตรียมงานผลิต ขั้นตอนการผลิต จนถึงขั้นตอนหลังถ่ายทำเสร็จ เพื่อตอบสนองการใช้งานในสื่อที่หลากหลาย อาทิ สื่อนิตยสาร สื่อออนไลน์ และสื่อภายนอกที่อยู่อาศัย (Out-of-Home Media) และด้วยประสบการณ์ในการทำธุรกิจกว่า 30 ปี ประกอบกับความเชี่ยวชาญ และชื่อเสียงเป็นที่รู้จักในวงการโฆษณา ทำให้บริษัทมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทจะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนครั้งนี้ไปก่อสร้างอาคารสำนักงานแห่งใหม่ ลงทุนในส่วนอุปกรณ์การผลิต ชำระคืนเงินกู้สถาบันการเงิน และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ

โดย CEYE มีผู้ถือหุ้นใหญ่หลัง IPO ได้แก่ กลุ่มครอบครัวสุวรรณแสงโรจน์ ถือหุ้น 45.96%, นายชำนิ ทิพย์มณี ถือหุ้น 22.77% บริษัทมีนโยบายจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราไม่น้อยกว่า 40% ของกำไรสุทธิของงบการเงินเฉพาะกิจการ ภายหลังจากหักเงินทุนสำรองต่างๆ ตามกฎหมาย

อย่างไรก็ดีจากสถานการณ์โควิดที่ผ่อนคลายลงมาก สนับสนุนให้ปริมาณงานจากลูกค้าเพิ่มขึ้น จึงมองแนวโน้มผลงานไตรมาส 1/2565 คาดจะมีการเติบโตต่อเนื่องจากไตรมาส 4/2564 ที่ผ่านมา และล่าสุดรัฐบาลประกาศยกเลิก Test & Go มีผล 1 พฤษภาคมนี้ คาดจะสนับสนุนภาพรวมเศรษฐกิจและการบริโภคในประเทศให้กลับมาคึกคักมากกว่าเดิม เป็นปัจจัยสนับสนุนให้ลูกค้าแบรนด์ชั้นนำต่างๆ ทั้งในประเทศไทย และต่างประเทศมีการจัดกิจกรรมโปรโมทสินค้า และการสร้างแบรนด์ จึงมั่นใจเป้าหมายผลการดำเนินงานปี 2565 คาดว่าจะกลับมาเติบโตสูงกว่าระดับปี 2562 ซึ่งเป็นช่วงก่อนโควิด-19 โดยในปี 2562 มีรายได้รวม 311.74 ล้านบาท กำไรสุทธิ 38.57 ล้านบาท ขณะที่ผลการดำเนินงานล่าสุด ณ สิ้นปี 2564 บริษัทฯ มีรายได้รวม 272.74 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17.53% และมีกำไรสุทธิ 28.45 ล้านบาท เติบโต 101.89% จากปีก่อน

ทั้งนี้นายเอกจักร บัวหภักดี กรรมการผู้จัดการ บริษัท แคปปิตอล วัน พาร์ทเนอร์ จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน กล่าวว่า CEYE มีปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง และจุดเด่นจากความเชี่ยวชาญของผู้บริหารในอุตสาหกรรมมากกว่า 30 ปี ไม่หยุดนิ่งในการขยายบริการให้ครอบคลุมทุกความต้องการของลูกค้า จากจุดเริ่มต้นในธุรกิจให้บริการผลิตภาพนิ่งสำหรับสื่อโฆษณาเป็นสัดส่วนรายได้หลักเพียงธุรกิจเดียว ในช่วง 5 ปีก่อนจึงได้เริ่มต่อยอดมายังบริการผลิตวีดีโอ เพื่อนำเสนอคอนเทนต์โฆษณาในช่องทางที่หลากหลายมากขึ้น และสามารถสร้างยอดขายให้เติบโตต่อเนื่องในทุกปี แม้ในช่วงสถานการณ์โควิด-19

โดย ณ สิ้นปี 2564 CEYE มีสัดส่วนรายได้มาจากธุรกิจให้บริการผลิตภาพนิ่ง 50.07% บริการผลิตภาพเคลื่อนไหว 26.73% บริการตกแต่งภาพด้วยคอมพิวเตอร์ 11.50% บริการให้เช่าสตูดิโอ 3.82% และบริการอื่นๆ รวมประมาณ 5.50% ได้แก่ ธุรกิจผลิตสื่อออนไลน์ และการบริหารสื่อออนไลน์ ซึ่งถือเป็นธุรกิจใหม่ที่จะเข้ามาเสริมรายได้ในระยะยาว

อย่างไรก็ดีในยุคหลังโควิด-19 ความต้องการงานครีเอฟทีฟคอนเทนต์โฆษณากลับมาเป็นปกติ ส่งผลให้บริษัทฯ พร้อมเก็บเกี่ยวงานโปรดักชั่นได้อย่างเต็มที่ และนอกจากนี้ CEYE ได้วางแผนนำเงินที่ได้จากการระดมทุนไปใช้ขยายอาคารสำนักงานแห่งใหม่ ลงทุนในอุปกรณ์การผลิต และโครงการในอนาคต เพื่อเข้าสู่ธุรกิจต้นน้ำถึงปลายน้ำ สนับสนุนโอกาสให้ CEYE เติบโตอย่างมีนัยสำคัญ และสร้างความเชื่อมั่นต่อนักลงทุนในการเข้าซื้อขายวันแรก และในอนาคต

สำหรับนายกิตติพันธ์ ภูษณวรรณ กรรมการผู้จัดการอาวุโส บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย เปิดเผยว่า การเสนอขายหุ้น IPO ของ CEYE ในช่วงที่ผ่านมา จำนวน 70 ล้านหุ้น ในราคาเสนอขาย 3.86 บาท/หุ้น ได้รับการตอบรับจากนักลงทุนเกินกว่าคาดหมาย ตอกย้ำถึงศักยภาพและความเชื่อมั่นในปัจจัยพื้นฐานของบริษัทฯ ทางด้านนักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์ชั้นนำรวม 4 บริษัทหลักทรัพย์ จัดทำบทวิเคราะห์และประเมินกรอบราคาเหมาะสมของ CEYE อยู่ในกรอบที่ 4.20 – 4.60 บาทต่อหุ้น ซึ่งยังไม่นับรวมโอกาสการเติบโตที่แข็งแกร่งของบริษัทฯ ในอนาคต

โดยบทวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด ระบุ ประเด็นสำคัญในการลงทุนของ CEYE จากแนวโน้มปี 2565 อุตสาหกรรมสื่อโทรทัศน์และโฆษณาดิจิทัลยังเติบโตต่อเนื่อง โดย นีลเส็น ประเทศไทย คาดว่าสื่อโทรทัศน์และสื่อออนไลน์ยังมีอิทธิพลต่อการใช้จ่ายของผู้บริโภคและการใช้จ่ายของแบรนด์ต่างๆ เนื่องจากเป็นสื่อที่ยังมีอิทธิพลในการจับจ่ายของผู้บริโภค แม้ว่าการรับชมรายการสดทางโทรทัศน์มีแนวโน้มลดลงแต่มีการรับชมย้อนหลังและการรับชมรายการสดผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้น ทำให้ยังมีความต้องการบริการถ่ายภาพนิ่ง ตกแต่งภาพ และถ่ายภาพเคลื่อนไหวในการผลิตสื่อโฆษณา

ทั้งนี้คาดอัตราการเติบโตเฉลี่ย (CAGR) ของกำไรสุทธิระหว่างปี 2562 – 2565 อยู่ที่ 15% ต่อปี ฝ่ายวิจัยประเมินรายได้จากการให้บริการในปี 2565 ราว 362 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 36% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยมีสัญญาณรายได้พลิกกลับดีขึ้นตั้งแต่ช่วงไตรมาส 4/2564 ที่มีการเปิดเมืองตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนของปีก่อน ทำให้มีความต้องการผลิตสื่อโฆษณาประชาสัมพันธ์มากขึ้นในหลายอุตสาหกรรม ทั้งธุรกิจอาหาร เครื่องดื่ม โทรศัพท์เคลื่อนที่ ค่ายรถยนต์ ธนาคาร ฯลฯ และคาดว่ารายได้บริการอื่นด้านออนไลน์มีเดียมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญตามการใช้เงินโฆษณาของแบรนด์ต่างๆ ด้วยสมมติฐานอัตรากำไรขั้นต้น (GPM) 29.2% ใกล้เคียงกับระดับ 29.6% ในช่วงไตรมาส 4/2564 และอัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อรายได้รวมที่ระดับ 8.9% ลดลงจาก 11% ในปี 2564 ส่งผลให้ประมาณการกำไรในปี 2565 เท่ากับ 58 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 105% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยคิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 15% ซึ่งคิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ย (CAGR) ระหว่างปี 2562-2565 เท่ากับ 15% ต่อปี

ประเมินราคาเหมาะสมในปี 2565 ที่ราว 4.54 บาทต่อหุ้น ด้วยวิธี PER โดยใช้ Prospective PER ที่ระดับ 21 เท่า เมื่อเทียบกับหุ้นที่ประกอบธุรกิจคล้ายคลึงกันในกลุ่มสื่อและสิ่งพิมพ์ (ตลาด SET) ที่ระดับ 47.34 เท่า และกลุ่มบริการ (ตลาด mai) ที่ระดับ 35.49 เท่า และประมาณกำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) ปี 2565 ราว 0.216 บาทต่อหุ้น คำนวณเป็นราคาเหมาะสมเท่ากับ 4.54 บาทสำหรับปี 2565

Back to top button