MAKRO ลุยขยายธุรกิจออฟไลน์-อีคอมเมิร์ช ปักธงขึ้นแท่นผู้นำ “ค้าส่ง-ปลีก” เอเชีย

MAKRO เสริมทัพทีมงานคนรุ่นใหม่ เดินหน้ากลยุทธ์ขยายธุรกิจออฟไลน์-ออนไลน์-อีคอมเมิร์ช ตอบโจทย์ผู้บริโภคยุดดิจิทัล เร่งเปิดสาขาทั้งในประเทศและต่างประเทศ ปักธงขึ้นแท่นผู้นำค้าส่ง-ค้าปลีกของเอเชีย


นายธานินทร์ บูรณมานิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) หรือ MAKRO เปิดเผยว่า กลุ่มธุรกิจแม็คโคร ซึ่งดำเนินธุรกิจ แม็คโครและโลตัส ปักธงเป็นผู้นำค้าส่ง และค้าปลีกของเอเชีย เสริมทัพทีมงานมืออาชีพรุ่นใหม่ พร้อมกลยุทธ์ขยายธุรกิจออฟไลน์ และออนไลน์ (O2O) รวมถึงอีคอมเมิร์ช เพื่อตอบโจทย์พฤติกรรมลูกค้าที่ปรับเปลี่ยนสู่ยุคดิจิทัล เช่น การเปิดตัวแอปพลิเคชั่น maknet  B2B Marketplace หรือตลาดค้าส่งออนไลน์สำหรับผู้ประกอบการแบบ End to End Solutions ที่เปิดบริการไปเมื่อ 31 มีนาคม 2565 ที่ผ่านมา นอกจากนี้ยังเร่งเปิดสาขาทั้งในประเทศ และต่างประเทศ พร้อมชูแพลตฟอร์มแห่งโอกาส หนุนเอสเอ็มอีไทยก้าวไปสู่ตลาดภูมิภาค

โดยบริษัทดำเนินธุรกิจในประเทศไทยมากกว่า 32 ปี ด้วยการขับเคลื่อนของทีมงานบริหารมืออาชีพ ที่มีความเข้าใจลูกค้าผู้ประกอบการอย่างลึกซึ้ง ซึ่งถือเป็นจุดแข็งที่สำคัญอันทำให้บริษัทเจริญเติบโตมาจนปัจจุบันนี้ และด้วยความต้องการของลูกค้า และตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป บริษัทได้มีการพัฒนาศักยภาพของบุคลากร และเปิดรับทีมงานคนรุ่นใหม่ที่มีความเชี่ยวชาญในด้านดิจิทัลเข้ามาแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ทำงานร่วมกับทีมงานที่มีความเชี่ยวชาญในด้านธุรกิจค้าส่ง รวมถึงค้าปลีก เพื่อให้กลยุทธ์การดำเนินธุรกิจเติบโตอย่างต่อเนื่อง  บรรลุเป้าหมายในการขับเคลื่อนองค์กร ภายใต้สิ่งแวดล้อมทางธุรกิจในรูปแบบใหม่

ทั้งนี้ ที่ผ่านมาบริษัทได้มีการขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่องใน 10 ประเทศ และได้มุ่งสนับสนุนสินค้าจากผู้ประกอบการ SME ออกสู่ตลาดต่างประเทศ ผ่านโครงการแพลตฟอร์มแห่งโอกาส เพื่อต่อยอดธุรกิจให้ SME ไทยเติบโต และขยายสู่ตลาดในภูมิภาคอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันมีสินค้าจากผู้ผลิตเอสเอ็มอีมากกว่า 100 รายการถูกนำไปวางจำหน่ายผ่านสาขาของบริษัทในประเทศกัมพูชา เมียนมาร์ และมีอีกหลายรายการที่กำลังอยู่ในระหว่างดำเนินการ

นอกจากนี้กลุ่มธุรกิจแม็คโคร ยังมุ่งมั่นในการทำธุรกิจที่ตอบโจทย์สังคมและสิ่งแวดล้อม เคียงข้างสังคมอย่างต่อเนื่องมาตลอด 32 ปีจนถึงปัจจุบันด้วยหลัก ESG ที่คำนึงถึงผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่าย ซึ่งบริษัทเชื่อว่าจะนำพาธุรกิจสู่การเป็นที่หนึ่งในใจของลูกค้าทุกกลุ่ม ด้วยการบริหารจัดการบนพื้นฐานของความยั่งยืน ที่บริษัทให้ความสำคัญสูงสุดทั้ง 3 ด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านสิ่งแวดล้อม (E) สังคม (S) และการมีธรรมาภิบาล หรือความโปร่งใส (G) โดยได้ดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรมผ่านโครงการต่างๆ ที่เกิดขึ้น เช่น

  1. โครงการ Say Hi to Bio, Say No to Foam เป็นโครงการที่ช่วยลดขยะที่เกิดจากโฟมบรรจุอาหาร ซึ่งเป็นปัญหาระดับประเทศ โดยได้ร่วมมือกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตั้งแต่ปี 2561 จนถึงปัจจุบัน ที่ทางแม็คโครได้ประกาศหยุดจำหน่ายโฟมบรรจุอาหารแล้วทุกสาขา ซึ่งตลอด 4 ปีที่ผ่านมาได้ช่วยลดขยะโฟมลงสู่สิ่งแวดล้อมกว่า 107 ล้านชิ้น หรือเทียบเท่ากับการที่เราช่วยรักษาต้นไม้ไว้ได้ถึง 233,791 ต้น
  2. โครงการ Zero Food waste to Landfill ซึ่งเป็นโครงการที่ขานรับนโยบายของเครือเจริญโภคภัณฑ์ ในการจัดการอาหารส่วนเกินอย่างยั่งยืน โดยได้ตั้งเป้าในการลดปริมาณขยะฝังกลบให้เป็นศูนย์ในปี พ.ศ.2573

อย่างไรก็ตาม บริษัทยังได้ดำเนิน “โครงการมิตรแท้โชห่วย” เพื่อพัฒนาผู้ประกอบการร้านค้าปลีกรายย่อย สู่การเป็น สมาร์ทโชห่วย อย่างต่อเนื่องมากว่า 12 ปี รวมทั้งได้เปิด “แม็คโคร โฮเรก้า อคาเดมี (MHA)”  ขึ้น เพื่ออบรมให้ผู้ที่ทำธุรกิจร้านอาหาร และจัดเลี้ยงรายย่อยได้เข้ามาพัฒนาต่อยอดฝึกอาชีพ เสริมทักษะ โดยเฉพาะในช่วงนี้ที่ผู้ประกอบการต้องการพัฒนาทักษะเพื่อต่อยอดธุรกิจ รองรับการฟื้นตัวหลังวิกฤตโควิด-19

Back to top button