ผู้ถือหุ้น  SWC ไฟเขียวปันผล 0.265 บ. จ่าย 27 พ.ค. ปักธงรายได้ปีนี้โตเกิน 30%

ผู้ถือหุ้น  SWC ไฟเขียวปันผล 0.265 บ. จ่าย 27 พ.ค.นี้ วางกลยุทธ์บุกขยายตลาดทุกแพลตฟอร์ม มั่นใจดันรายได้ปีนี้โตเกิน 30%


นายธนากร วัฒนวิจารณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เชอร์วู้ด คอร์ปอเรชั่น (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ SWC ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายเคมีเคหะภัณฑ์ที่ใช้ในบ้านเรือน อุตสาหกรรม สาธารณสุขชุมชน เคมีภัณฑ์เพื่อการเกษตร รวมถึงธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม เปิดเผยว่า ที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2565 ได้มีมติอนุมัติให้จ่ายเงินปันผลงวดจากผลการดำเนินงานในงวดครึ่งหลังของปี 2564 เป็นเงินสด ในอัตราหุ้นละ 0.265 บาท  รวมเป็นเงินปันผลทั้งสิ้น 86.67 ล้านบาท โดยกำหนดให้ผู้ถือหุ้นที่จะมีชื่อปรากฎ ณ วันกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้น (Record Date) ในวันที่ 14 มีนาคม 2565 และกำหนดวันจ่ายเงินปันผลในวันที่ 27 พฤษภาคม 2565

ทั้งนี้ ที่ผ่านมาบริษัทได้มีการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล จากผลการดำเนินงานงวด 6 เดือน สิ้นสุด ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2564 ในอัตราหุ้นละ 0.125 บาท รวมเป็นเงิน 40.34 ล้านบาท  ส่งผลทำให้ ทั้งปีบริษัทฯ จ่ายเงินปันผลรวม 0.39 บาทต่อหุ้น

สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจในปี 2565 บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายรายได้เติบโตไม่ต่ำกว่า 30% จากปีก่อน จากทั้งกลุ่มผลิตภัณฑ์ในครัวเรือนสำหรับผู้บริโภค (Non-Food Consumer Business) กลุ่มผลิตภัณฑ์เคมีและทำความสะอาดสำหรับธุรกิจ (Non-Food Professional Business) และผลิตภัณฑ์กลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม โดยมั่นใจว่าจะสามารถสร้างการเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง เนื่องจากบริษัทฯ  มีแผนการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ ซึ่งจะมุ่งเน้นกลุ่ม Food มากขึ้น เนื่องจากมีมูลค่าตลาดขนาดใหญ่สามารถเติบโตได้อีกมาก

พร้อมกับการรุกขยายตลาดทุกช่องที่สอดคล้องกับแต่ละกลุ่มผลิตภัณฑ์ ประกอบกับบริษัทฯ มีกลยุทธ์การกระจายสินค้าทั่วถึงทั้งช่องทางร้านค้าปลีกดั้งเดิมทั่วประเทศ ห้างโมเดิร์นเทรดต่างๆ และแพลตฟอร์มออนไลน์หลายช่องทาง ซึ่งสินค้าในทุกกลุ่มได้รับกระแสตอบรับที่ดีจากลูกค้าอย่างต่อเนื่อง และช่วยผลักดันให้ผลการดำเนินงานของบริษัทฯ เติบโตแข็งแกร่งและมั่นคงต่อไป

“แนวโน้มตลาดในปีนี้ บริษัทฯคาดว่าจะกลับมามีทิศทางที่ดีขึ้นหากเทียบกับปีที่ผ่านมา เพราะผู้บริโภคปรับตัวได้ดีขึ้น ได้รับการฉีดวัคซีคโควิด-19 ครบโดสกันมากขึ้น มีการเคลื่อนย้ายเดินทาง และทำกิจกรรมทางเศรษฐกิจ จึงเชื่อมั่นว่าการเติบโตของผลิตภัณฑ์ FMCG จะเติบโตไปในทิศางเดียวกับ GDP ของประเทศ และมีผลต่อการเติบโตเชิงบวกให้กับบริษัท ดังนั้นจะช่วยสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต” นายธนากร กล่าวในที่สุด

Back to top button