“อีอีซี” ทำเลทอง! ครึ่งปีแรก “ยอดขาย-เช่าที่ดิน” โต 32%
“กนอ.” เปิดยอดขาย-เช่าที่ดินพื้นที่นิคมอุตสาหกรรม ครึ่งแรกงบปี 65 โต 31.70% คาดมาจากความเชื่อมั่นในโครงการขับเคลื่อนโครงสร้างพื้นฐานหลักในพื้นที่อีอีซี
นายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เปิดเผยว่า ในช่วง 2 ไตรมาสแรกของปีงบประมาณ 2565 (ต.ค.2564 – มี.ค.2565) กนอ.มียอดขาย/เช่าพื้นที่นิคมอุตสาหกรรม จำนวน 785.33 ไร่ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ร้อยละ 31.70 โดยเป็นผลจากความเชื่อมั่นในโครงการขับเคลื่อนโครงสร้างพื้นฐานหลักในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ทั้งโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน โครงการพัฒนาท่าอากาศยานนานาชาติอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก โครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบังระยะที่ 3 และโครงการพัฒนาท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด ระยะที่ 3 ซึ่งทั้ง 4 โครงการมีความก้าวหน้าการก่อสร้างและส่งมอบพื้นที่โครงการต่อเนื่องชัดเจน รวมถึงการรับมือกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า (โควิด-19) ที่ประเทศไทยทำได้เป็นอย่างดี
ขณะที่แนวโน้มของเศรษฐกิจโลกก็ปรับตัวดีขึ้นเช่นกัน จึงทำให้นักลงทุนตัดสินใจจอง/ชื้อ/เช่าที่ดินในนิคมอุตสาหกรรม ทั้งนิคมอุตสาหกรรมร่วมดำเนินงาน และนิคมอุตสาหกรรมที่ กนอ.ดำเนินการเอง
โดยยอดการขาย/เช่านิคมฯ ในพื้นที่อีอีซี มีจำนวน 669.73 ไร่ และนอกพื้นที่อีอีซี จำนวน 115.60 ไร่ มีการแจ้งเริ่มประกอบกิจการ และใบขออนุญาตส่วนขยาย 40 ราย เกิดการจ้างงาน 17,905 คน มูลค่าการลงทุนรวม 6 เดือน 59,872 ล้านบาท
“ปัจจุบันหลายประเทศทั่วโลกปรับตัวอยู่ร่วมกับโควิด-19 ได้เพิ่มขึ้น ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจเริ่มกลับมาเดินหน้าได้ รวมถึงการลงทุนในภาคอุตสาหกรรม ซึ่ง กนอ.เองมีการคาดการณ์ไว้ว่า ในปีนี้จะมีเม็ดเงินลงทุนในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมสูงถึง 177,000 ล้านบาท โดยเฉพาะการลงทุนในพื้นที่อีอีซีจะปรับตัวเพิ่มขึ้น จึงตั้งเป้ายอดขาย/เช่า พื้นที่นิคมอุตสาหกรรมในปี 2565 ไว้ที่ ประมาณ 1,770 ไร่ ซึ่งมากกว่าปีที่ผ่านมา
โดยพิจารณาการลงทุนปีนี้ที่คาดว่ามีปัจจัยบวกเป็นส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นจากการสำรวจความคิดเห็นของผู้ประกอบการญี่ปุ่นในประเทศไทย หรือจากองค์กรส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น (เจโทร) ซึ่งพบว่านักลงทุนชาวญี่ปุ่นส่วนใหญ่มั่นใจการลงทุนในประเทศไทย โดยมีจำนวนถึงร้อยละ 40-50 ที่ตั้งใจขยายการลงทุนต่อในประเทศไทย และอีกร้อยละ 30 ยังคงมีแผนการลงทุนเดิม เนื่องจากมีความมั่นใจในโครงสร้างพื้นฐานหลักในพื้นที่อีอีซีที่เดินหน้าอย่างชัดเจน” นายวีริศ กล่าว
สำหรับปัจจุบัน กนอ.มีพื้นที่นิคมอุตสาหกรรม ประมาณ 180,082 ไร่ แบ่งเป็นพื้นที่ที่นิคมอุตสาหกรรมดำเนินการเอง ประมาณ 37,724 ไร่ และเป็นพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมร่วมดำเนินงาน ประมาณ 142,358 ไร่ มีพื้นที่ขายและให้เช่า ประมาณ 118,667 ไร่ โดยเป็นพื้นที่ขาย/ให้เช่าแล้ว ประมาณ 92,174 ไร่ และยังคงมีพื้นที่คงเหลือสำหรับขาย/ให้เช่าอีกประมาณ 26,493 ไร่ มีมูลค่าการลงทุนสะสม ประมาณ 5.51 ล้านล้านบาท มีโรงงานในนิคมอุตสาหกรรมประมาณ 5,098 โรง และมีการจ้างงานรวมทั้งสิ้น ประมาณ 907,172 คน
โดยกลุ่มอุตสาหกรรม 5 อันดับแรก ได้แก่ 1) อุตสาหกรรมยานยนต์และการขนส่ง ร้อยละ 11.40, 2) อุตสาหกรรมเหล็กและผลิตภัณฑ์โลหะ ร้อยละ 10.65, 3) อุตสาหกรรมยาง พลาสติก และหนังเทียม ร้อยละ 9.58, 4) อุตสาหกรรมปุ๋ย สี และเคมีภัณฑ์ ร้อยละ 8.84 และ 5) อุตสาหกรรมเครื่องยนต์ เครื่องจักร และอะไหล่ ร้อยละ 8.52 ทั้งนี้นักลงทุนจากประเทศญี่ปุ่นยังคงครองแชมป์ให้ความสนใจมาลงทุนมากเป็นอันดับหนึ่งถึงร้อยละ 40 รองลงมา คือ นักลงทุนจากประเทศจีน ร้อยละ 20 และนักลงทุนจากอเมริกา อังกฤษ และเนเธอร์แลนด์ ร้อยละ 10
สำหรับภาพรวมการลงทุนในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมภายใต้การกำกับดูแลของ กนอ.ทั้งนิคมอุตสาหกรรมที่ กนอ.ดำเนินการเอง และนิคมอุตสาหกรรมร่วมดำเนินงาน ปัจจุบันมีจำนวนทั้งสิ้น 66 แห่ง และท่าเรืออุตสาหกรรม 1 แห่ง ใน 16 จังหวัด เป็นนิคมอุตสาหกรรมที่ กนอ.ดำเนินการเอง 14 แห่ง และนิคมอุตสาหกรรมร่วมดำเนินงาน 46 แห่ง (โดยเป็นนิคมอุตสาหกรรมที่ยังไม่เปิดดำเนินการ 6 แห่ง)