BIS ขึ้นสังเวียนเทรดวันแรก ลุ้นวิ่งทะลุ 8 บ. รับพื้นฐานแกร่ง โอกาสเติบโตสูง!
“ไบโอซายน์ แอนิมัล เฮลธ์” หรือ BIS ขึ้นสังเวียนเทรด mai วันแรก! ลุ้นราคาวิ่งทะลุ 8 บ. จากราคา IPO ที่ 6 บ. รับพื้นฐานแกร่ง มีโอกาสเติบโตสูง ตอกย้ำผู้นำธุรกิจยา-เวชภัณฑ์สัตว์
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (5 พ.ค.2565) หลักทรัพย์บริษัท ไบโอซายน์ แอนิมัล เฮลธ์ จำกัด (มหาชน) หรือ BIS จะเข้าจดทะเบียนและเริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ mai ภายใต้กลุ่มบริการ โดย BIS และบริษัทย่อยดำเนินธุรกิจผลิต นำเข้าและจัดจำหน่ายเวชภัณฑ์ เครื่องมือ อุปกรณ์ และผลิตภัณฑ์สำหรับปศุสัตว์และสัตว์เลี้ยงโดยเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้รับอนุญาตหรือขึ้นทะเบียนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งมีการนำเข้าจากผู้จัดจำหน่ายชั้นนำกว่า 13 ประเทศทั่วโลก เช่น สหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศส เนเธอร์แลนด์ และจีน เป็นต้น
ทั้งนี้ปัจจุบันมีสินค้าจัดจำหน่ายกว่า 470 รายการ แบ่งเป็น 6 กลุ่ม และมีสัดส่วนรายได้ในปี 2564 ดังนี้ 1) กลุ่มผลิตภัณฑ์รักษาและป้องกันโรคสำหรับสัตว์ (Animal Health) 27% 2) กลุ่มผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและวิตามินสำหรับสัตว์ (Nutrition) 17% 3) กลุ่มผลิตภัณฑ์เพื่อการวินิจฉัยโรค (Diagnostic) 22% 4) กลุ่มวัตถุดิบอาหารสัตว์ (Ingredient) 15% 5) กลุ่มอาหารเม็ดสำเร็จรูป (Complete Feed) 18% และ 6) ผลิตภัณฑ์อื่น 1% โดยมีกลุ่มลูกค้าสำหรับปศุสัตว์ ได้แก่ โรงงานอาหารสัตว์ ฟาร์มปศุสัตว์และร้านจำหน่ายอาหารสัตว์ และกลุ่มลูกค้าสำหรับสัตว์เลี้ยง ได้แก่ โรงพยาบาลและคลินิกรักษาสัตว์ ร้านจำหน่ายสินค้าสำหรับสัตว์เลี้ยง และร้านค้าปลีกสมัยใหม่
สำหรับผลิตภัณฑ์ที่บริษัทจัดจำหน่ายจะมีทั้งผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์สินค้าของคู่ค้า ผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์สินค้าของบริษัทโดยเป็นการว่าจ้างผลิต และผลิตภัณฑ์ที่บริษัทผลิตภายใต้แบรนด์สินค้าของบริษัทเอง โดยในปี 2564 มีสัดส่วนรายได้เท่ากับ 81 : 17 : 2 ตามลำดับ
โดย BIS มีทุนชำระแล้ว 157 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.5 บาท ประกอบด้วยหุ้นสามัญเดิม 220 ล้านหุ้น และหุ้นสามัญเพิ่มทุน 94 ล้านหุ้น โดยเสนอขายต่อบุคคลตามดุลยพินิจของผู้จัดจำหน่ายหลักทรัพย์ 70.5 ล้านหุ้น เสนอขายต่อผู้มีอุปการคุณของบริษัท 14.1 ล้านหุ้น และเสนอขายต่อบุคคลผู้มีความสัมพันธ์ และพนักงานของบริษัท 9.4 ล้านหุ้น เมื่อวันที่ 25 – 28 เมษายน 2565 ในราคาเสนอขายหุ้นละ 6 บาท คิดเป็นมูลค่าระดมทุน 564 ล้านบาท และมีมูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO 1,884 ล้านบาท
ทั้งนี้ราคาเสนอขายหุ้น IPO คิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E ratio) ที่ 27.45 เท่า โดยคำนวณกำไรสุทธิต่อหุ้นจากผลการดำเนินงานในช่วง 4 ไตรมาสย้อนหลัง (1 มกราคม ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2564 ) ซึ่งเท่ากับ 68.63 ล้านบาท หารด้วยจำนวนหุ้นทั้งหมดภายหลังการเสนอขายหุ้นครั้งนี้ (fully diluted) คิดเป็นกำไรสุทธิต่อหุ้น 0.22 บาท มีบริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และ ผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่ายหุ้นสามัญ
ด้านนายสัตวแพทย์ธนวัฒน์ คงเจริญสมบัติ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร BIS เปิดเผยว่ากลุ่มบริษัทมุ่งเน้นการคัดสรรและนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพดีและหลากหลายจากผู้ผลิตชั้นนำทั่วโลก ผู้ก่อตั้งและผู้บริหารเป็นสัตวแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ในธุรกิจมากกว่า 18 ปี ทำให้สามารถเข้าใจและตอบสนองความต้องการของลูกค้า นอกจากนี้ บริษัทยังมีการส่งเสริมงานวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมที่มีคุณภาพและประสิทธิภาพ โดยคำนึงถึงการก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดทั้งลูกค้า คุณภาพชีวิตของสัตว์ และผู้บริโภคปลายทาง
ทั้งนี้ บริษัทจะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนไปชำระคืนเงินกู้ยืมสถาบันการเงิน ขยายโรงงานและการลงทุนเพิ่มเติมในเครื่องจักร เป็นเงินทุนสนับสนุนงานวิจัยและพัฒนาวัคซีนปศุสัตว์เพื่อต่อยอดการผลิตวัคซีนในเชิงพาณิชย์ และเป็นเงินทุนหมุนเวียน
ขณะที่ BIS มีผู้ถือหุ้นใหญ่หลัง IPO ได้แก่ บริษัท บีไอเอส กรุ๊ป โฮลดิ้ง จำกัด ถือหุ้น 33.03% และนายสัตวแพทย์ธนวัฒน์ คงเจริญสมบัติ ถือหุ้น 8.87% บริษัทมีนโยบายจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราไม่น้อยกว่าร้อยละ 30 ของกำไรสุทธิจากงบการเงินรวมบริษัทและบริษัทย่อย (Consolidated) และพิจารณาร่วมกับงบการเงินเฉพาะกิจการ ภายหลังหักภาษีเงินได้นิติบุคคล และการจัดสรรทุนสำรองต่าง ๆ ทุกประเภทฯ
“BIS มีผลประกอบการเติบโตต่อเนื่อง แม้ในปี 2564 ที่ผ่านมา อุตสาหกรรมปศุสัตว์ประสบปัญหา โรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร หรือ ASF อย่างรุนแรง ทำให้มีสุกรตายจำนวนมาก จนกระทบต่อห่วงโซ่อุตสาหกรรม โดย BIS มีรายได้รวมเพิ่มขึ้นเป็น 1,987 ล้านบาท และ กำไรสุทธิเพิ่มขึ้นเป็น 69 ล้านบาท จากปี 2563 ที่มีรายได้รวม 1,784 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 54 ล้านบาท โดยมีรายได้จากกลุ่มผลิตภัณฑ์ ชุดตรวจโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร หรือ ASF และ ชุดตรวจโควิด -19 แบบ RT PCR เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะ ซึ่งผลิตภัณฑ์ทั้ง 2 กลุ่ม เป็นนวัตกรรมที่ BIS ได้พัฒนาขึ้นร่วมกับพันธมิตรด้านการวิจัย-พัฒนา โดยเริ่มวางตลาดเมื่อปีที่ผ่านมา และ สามารถตอบสนองความต้องการของตลาดได้เป็นอย่างสูง
ทั้งนี้คาดว่าในปีนี้กลุ่มชุดตรวจโรคน่าจะมีส่วนสำคัญในการสร้างรายได้ เพราะสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 และ โรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร (African swine fever : ASF) ยังทรงตัวอยู่ จึงมีความต้องการสินค้าอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ในปี 2564 บริษัทฯ มีรายได้จากกลุ่มผลิตภัณฑ์รักษาและป้องกันโรคสำหรับสัตว์ (Animal Health Product) และ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและวิตามินสำหรับสัตว์ (Nutrition Product) ซึ่งเป็น 2 กลุ่มผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ อย่างมากเช่นกัน”นายสัตวแพทย์ธนวัฒน์ กล่าว
ด้านนายประเสริฐ ตันตยาวิทย์ กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวาณิชธนกิจ บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน ในการนำเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ และผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่ายของบริษัท ไบโอซายน์ แอนิมัล เฮลธ์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ผมมีความมั่นใจว่า หุ้น BIS จะได้รับความสนใจจากทั้งกลุ่มนักลงทุนระยะยาว และกลุ่มนักลงทุนรายย่อย เนื่องจาก BIS มีพื้นฐานธุรกิจที่แข็งแกร่ง และมีโอกาสเติบโตสูง
โดยบริษัทอยู่ในธุรกิจด้านไบโอเทคซึ่งเป็น 1 ในอุตสาหกรรม New S-Curve ของรัฐบาล อีกทั้ง BIS มีประสบการณ์ในการบริหารธุรกิจ และ ความสัมพันธ์ที่ดียิ่งกับลูกค้าและพันธมิตรธุรกิจจำนวนมากทั้งบริษัทไทยและบริษัทระดับนานาชาติ นอกจากนี้ BIS ยังอยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรม ยา วัคซีน และเวชภัณฑ์สัตว์ ซึ่งเปรียบเสมือนจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญในอุตสาหกรรมอาหารของไทยที่มีความสำคัญและมีมูลค่าสูง จึงมีโอกาสที่จะเติบโตอย่างต่อเนื่องไปกับอุตสาหกรรมอาหารของไทยที่มีมูลค่าการส่งออกอาหารสูงติดอันดับโลก
ส่วนบล.กรุงศรี กำหนดช่วงราคาเหมาะสมของ BIS ไว้ที่ 7.60-8.45 บาทต่อหุ้น อิง P/E ที่ 18-20 เท่า โดยคาดกำไรในปี 2565 จะอยู่ที่ 133 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 84% หนุนโดยการขยายกำลังการผลิตสินค้ากลุ่มผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและวิตามินสำหรับสัตว์ และยอดขายกลุ่มผลิตภัณฑ์รักษาและป้องกันโรคสำหรับสัตว์ กลุ่มผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและวิตามินสำหรับสัตว์ และกลุ่มผลิตภัณฑ์เพื่อการวินิจฉัยโรค ซึ่งมีอัตรากำไรขั้นต้นค่อนข้างสูงประมาณ 20-30% และยังเติบโตได้ดีต่อเนื่อง โดยในปี 2566 คาดกำไรจะอยู่ที่ระดับ 171 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 29% จากการเลี้ยงสุกรในประเทศที่คาดว่าจะฟื้นตัวขึ้น
ด้านบล.เคทีบีเอสที ประเมินราคาเป้าหมายของ BIS ไว้ที่ 7 บาท อิง P/E ที่ 18.40 เท่า โดยคาดกำไรสุทธิปี 2565 อยู่ที่ 119 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 65% จากปีก่อน และในปี 2566 กำไรสุทธิจะอยู่ที่ 137 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15% จากปีก่อน บนสมมติฐานรายได้ในปี 2565 ที่ 2,363 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20% จากปีก่อน และในปี 2566 จะมีรายได้ 2,681 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13% จากปีก่อน