จับตา SMT กวาดกำไร Q1 แตะ 54 ลบ. โบรกชี้ Q2 นิวไฮ อัพเป้าใหม่ 6 บ.

จับตา SMT กวาดกำไรไตรมาส 1/65 แตะ 54 ลบ. หลังปัญหาขาดแคลนชิปเริ่มคลี่คลาย โบรกชี้ไตรมาส 2 รายได้-กำไรนิวไฮ รับออเดอร์เพิ่ม ผลดีเงินบาทอ่อนค่า อัพเป้าใหม่ 6 บ. จากเดิม  5.5 บ. พร้อมเพิ่มกำไรสุทธิปี 65 ขึ้น 8% เป็น 237 ลบ.


บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์ ( 5 พ.ค.65) คาดกำไรสุทธิไตรมาส 1/2565 ของบริษัท สตาร์ส ไมโครอิเล็กทรอนิกส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ SMT จะอยู่ที่ 54 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17.4% จากไตรมาสก่อนหน้า และเพิ่มขึ้น 5.9% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ซึ่งฟื้นตัวดีจากปัญหาวัตถุดิบขาดแคลนที่เริ่มคลี่คลาย จากก่อนหน้ามีปัญหาวัตถุดิบ 2 รายการของกลุ่ม Optic ชะงักในช่วงครึ่งปีหลัง 2564 ทำให้สามารถผลิตสินค้าส่งมอบให้กับลูกค้าได้ทันในไตรมาส 1/2565

โดยเบื้องต้นคาดรายได้จะเติบโตเพิ่มขึ้น 19.7% จากไตรมาสก่อนหน้าและเพิ่มขึ้น 9% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน และด้วยอัตราการใช้กำลังการผลิตที่กลับมาดีขึ้น จึงคาดอัตรากำไรขั้นต้นจะกลับสู่ระดับ 20.2% จาก 15.4% ในไตรมาส 4/2564 และ 18.5% ในไตรมาส 1/2564 ถึงเป้าหมายของบริษัทอีกครั้ง บริษัทตั้งเป้าไว้ 18-20% และคาดยังคุมค่าใช้จ่ายได้ดี ด้วยสัดส่วนค่าใช้จ่ายในการบริหารต่อยอดขายที่ 11.7% ลดลงจาก 15.2% ในไตรมาส 4/2564 และใกล้เคียงกับ 10.9% ในไตรมาส 1/2564

ทั้งนี้ผู้บริหารยังมั่นใจต่อเป้าหมายการเติบโตของรายได้ปี 2565 ที่เพิ่มขึ้น 50% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน สู่ระดับ 3.3 พันล้านบาท ล่าสุดมีคำสั่งซื้อในมือล่วงหน้าราว 2.5 พันล้านบาท คิดเป็น 75% ของเป้าหมายทั้งปี โดยระยะสั้นมีคำสั่งซื้อเข้ามาในไตรมาส 2/2565 ราว 800 ล้านบาท และคาดจะสามารถส่งมอบได้ราว 85% คาดจะมีรายได้ในไตรมาส 2/2565 ที่ 680 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14% จากไตรมาสก่อนหน้า และเพิ่มขึ้น 12% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน และยังได้ผลบวกจากค่าเงินบาทอ่อนค่า จึงคาดรายได้และกำไรสุทธิในไตรมาส 2/2565 จะทำจุดสูงสุดใหม่

อย่างไรก็ดี ผลกระจากสงครามยังจำกัด โดยมีสัดส่วนลูกค้า US 86% รองมาคือ EU 13% และ Asia 1% ขณะที่จะเริ่มทยอยรับรู้ลูกค้าใหม่มากขึ้นในไตรมาส 2/2565 หลังจากที่ลูกค้าเริ่มกลับมาใช้บริการได้มากขึ้น ส่วนจีนล็อกดาวน์ก็ยังส่งผลกระทบจำกัด ถึงแม้บริษัทมีการสั่งซื้อ PCB จากจีน แต่ปัจจุบันยังมีสต็อกพอใช้อยู่ แต่หากสถานการณ์ยืดเยื้อ ผู้บริหารแจ้งว่ายังสามารถหาซื้อจากแหล่งอื่นได้

โดยภาพรวมระยะเวลาในการสั่งซื้อของวัตถุดิบสั้นลงเหลือ 4-6 เดือน จากก่อนหน้าที่ยาว 9-12 เดือน ด้วยแนวโน้มกำไรครึ่งปีแรก 2565 ฟื้นตัวเร็วกว่าที่เคยคาด ทางฝ่ายวิจัยจึงปรับเพิ่มกำไรสุทธิปี 2565 ขึ้น 8% เป็น 237 ล้านบาท เติบโต 12.9% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน และปรับเพิ่มราคาเป้าหมายขึ้นเป็น 6 บาท จากเดิม 5.5 บาท (อิง PE 23 เท่า) ปรับคำแนะนำเป็น “ซื้อ” จาก “ถือ”

Back to top button