L&E รายได้เพิ่ม-บาทอ่อนหนุน ดันงบ Q1 พลิกกำไร 9.6 ลบ.

L&E โชว์งบไตรมาส 1/65 พลิกมีกำไร 9.6 ลบ. รับรายได้จากการขาย-บริการเพิ่มขึ้น รวมถึงได้อานิสงส์จากค่าเงินบาทอ่อนค่าหนุน ซึ่งคาดผลักดันผลงานครึ่งแรกของปีนี้เติบโตต่อเนื่อง


นายอนันต์ กิตติวิทยากุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไลท์ติ้ง แอนด์ อีควิปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ L&E ผู้นำธุรกิจผลิตและจัดจำหน่ายโคมไฟฟ้า รวมทั้งอุปกรณ์แสงสว่างรายใหญ่ของประเทศไทยและในภูมิภาคอาเซียน เปิดเผยว่า ก่อนหน้านี้ บริษัทประเมินผลประกอบการปี 2565 จะเติบโตประมาณ 20% จากปี 2564 นั้น

โดยล่าสุดผลประกอบการไตรมาส 1/2565 ยอดขายเติบโตได้ไม่น้อยกว่า 20% ซึ่งดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ ซึ่งมาจากงาน Backlog ที่เลื่อนจากปี 2564 และการส่งออกสินค้าไปสหรัฐอเมริกาได้มากกว่าที่คาดการณ์ไว้ รวมทั้งได้รับผลบวกจากเงินบาทที่อ่อนค่า ส่งผลต่อแนวโน้มครึ่งปีแรกคาดว่าผลประกอบการจะยังได้แรงส่งเติบโตอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ดี ในไตรมาส 2/2565 ยังคงต้องรอดูปัจจัยภายนอกของประเทศที่เข้ามากระทบอย่างใกล้ชิด

สำหรับภาพรวมในประเทศแม้ได้รับปัจจัยกระทบจากสถานการณ์โควิดสายพันธุ์ใหม่ ที่อาจส่งผลทางลบต่อสภาพเศรษฐกิจโดยรวมในประเทศ อีกทั้งมีแรงกดดันจากต้นทุนสินค้า วัตถุดิบนำเข้า และค่าระวางสินค้าที่สูงขึ้น อัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทที่อ่อนค่าลง ในขณะที่ยอดขายส่วนใหญ่กระทบงานโครงการที่ได้สรุปราคามาก่อนหน้า อย่างไรก็ดี ในช่วงหลังจากนี้ ทิศทางอุตสาหกรรมและการประมูลงานในประเทศ มองว่า จะเริ่มมีปริมาณที่สูงขึ้น เพื่อเติม Backlog ในอนาคต

ด้านงานในต่างประเทศ เสถียรภาพทางเศรษฐกิจและการเงินของสหรัฐอเมริกาลูกค้าหลัก ส่อแววมีความเสี่ยงที่ผลกระทบทางลบจากสงครามยูเครนและสภาพเงินเฟ้อในประเทศที่สูงขึ้นอาจจะตามมาด้วยภาวะเศรษฐกิจตกต่ำหรือ ภาวะเงินฝืด (stagflation) ซึ่งต้องติดตามสถานการณ์ต่างๆอย่างใกล้ชิดและทบทวนการเติบโตอีกครั้งหลังไตรมาส 2 สำหรับผลการดำเนินงานไตรมาส 1/2565  บริษัทมีรายได้จากการขายและให้บริการ 804 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 249 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 45% เป็นผลจากรายได้จากการขายและให้บริการของงานโครงการเพิ่มขึ้น 99 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 33% และงานขายส่ง/ขายปลีกเพิ่มขึ้น 13 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 9%  ส่วนงานขายต่างประเทศนั้นเพิ่มขึ้น 137 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 121%

โดยการเพิ่มขึ้นของรายได้จากงานขายโครงการ และงานขายส่ง/ขายปลีก เป็นผลจากบริษัทห้างร้านต่างๆเริ่มปรับตัวให้สามารถดำเนินธุรกิจท่ามกลางสถานการณ์ที่ยังมีการแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้  ส่งผลให้มีการขยายหรือปรับปรุงธุรกิจเพิ่มมากขึ้น รวมทั้งไตรมาส 1ปีนี้ บริษัทมีรายได้จากงานโครงการหลายงานที่ได้เลื่อนการส่งมอบงานจากปีที่แล้วมาเป็นไตรมาสนี้  ส่วนการเพิ่มขึ้นของงานขายต่างประเทศ เป็นผลจากรายได้จากการขายสินค้าไปให้ลูกค้าปลายทางที่ประเทศสหรัฐอเมริกาเพิ่มขึ้น 154 ล้านบาท

ทั้งนี้กำไรงวดไตรมาส 1/2565 อยู่ที่ 9.6 ล้านบาท เทียบกับปีก่อนหน้าที่ขาดทุน 2.8 ล้านบาท ปรับตัวดีขึ้น 12.4 ล้านบาท หรือปรับตัวดีขึ้น 443% เป็นผลจากกำไรขั้นต้นจากการขายรวมรายได้อื่นเพิ่มขึ้น 57.4 ล้านบาท จากรายได้จากการขายและให้บริการที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น 45% แต่อัตรากำไรขั้นต้นได้ปรับตัวลดลงจาก 28.6% ในปี 2564 เป็น 24.8% ในปี 2565  สาเหตุใหญ่มาจากต้นทุนสินค้าที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น เพราะวัตถุดิบและค่าระวางสินค้าที่ปรับตัวสูงขึ้น ในขณะที่บริษัทไม่สามารถปรับราคาขายของงานโครงการส่วนใหญ่ได้ เพราะเป็นราคาที่ได้ระบุไว้ในสัญญาซื้อขาย รวมทั้งในไตรมาสนี้ บริษัทได้ขายสินค้าที่มีอัตรากำไรขั้นต้นสูงกว่าในสัดส่วนที่ลดลง

นอกจากนี้ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารรวมดอกเบี้ยจ่ายเพิ่มขึ้น 45.7 ล้านบาท เป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายที่แปรผันตามผลการดำเนินงาน และค่าเสื่อมราคาที่เพิ่มขึ้นจากการนำเอาระบบ ERP ของ SAP มาใช้ รวมถึงการตั้งสำรองหนี้สูญสำหรับลูกหนี้การค้าที่ชำระช้ากว่าปกติและอาจมีความเสี่ยงในการชำระหนี้ รวมทั้งมีดอกเบี้ยจ่ายเพิ่มขึ้น 1.5 ล้านบาท เป็นผลจากเงินกู้ยืมที่เพิ่มขึ้นเพราะยอดขายที่ปรับตัวสูงขึ้น

Back to top button