“วัน ออริจิ้น” ปิดดีล 3 “ไอบิส” กว่าพันล. ตั้งเป้าคว้า 8 โรงแรมหนุนพอร์ตโต 1.4 หมื่นลบ.
“วัน ออริจิ้น” ต่อยอดแผน Origin Multiverse กางโรดแมปธุรกิจโรงแรมหลังคว้า ibis 3 แห่งเข้าพอร์ตเสริมแกร่ง Budget Hotel ตั้งเป้าปี 65 มีโรงแรมในพอร์ตรวมไม่น้อยกว่า 8 แห่ง รวมกว่า 1.4 หมื่นลบ. มั่นใจภาครัฐปลดล็อค Test & Go หนุนภาคท่องเที่ยวฟื้นตัว
นายปิติพงษ์ ไตรนุรักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วัน ออริจิ้น จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจที่สร้างรายได้ประจำ (Recurring Income) ในเครือบริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI เปิดเผยว่า ภายใต้แผนการเติบโตแบบพหุจักรวาล หรือ Origin Multiverse ของเครือออริจิ้น ที่มุ่งผลักดันให้บริษัทย่อยมีเส้นทางการเติบโตเป็นของตัวเอง และทยอยเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
ล่าสุด บริษัทได้เข้าซื้อกิจการโรงแรมแบรนด์ “ไอบิส” (ibis) โรงแรมระดับบัดเจ็ตโฮเทล ภายใต้เชนแอคคอร์ (Accor) จำนวน 3 แห่ง จำนวนห้องพักรวม 664 ห้อง จากบริษัท ดิ เอราวัณ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ ERW เสร็จสิ้นแล้วเมื่อวันที่ 29 เม.ย. ที่ผ่านมา ส่งผลให้บริษัทมีพอร์ตฟอลิโอในเซ็กเมนท์ใหม่อย่างกลุ่ม Budget Hotel สามารถบุกหัวเมืองท่องเที่ยวทำเลแม่เหล็กรับช่วงการท่องเที่ยวฟื้นตัว และเริ่มรับรู้รายได้ได้ทันทีตั้งแต่เดือน พ.ค. นี้ เป็นต้นไป
“จากการได้โรงแรมไอบิส ภูเก็ต กะตะ (ibis Phuket Kata Hotel) โรงแรมไอบิส หัวหิน (ibis Hua Hin) และโรงแรมไอบิส สไตล์ กระบี่ อ่าวนาง (ibis Styles Krabi Ao Nang) เข้าสู่พอร์ตฟอลิโอ ส่งผลให้โรดแมปของเราจนถึงปี 2567 จะมีโรงแรมในพอร์ตฟอลิโอ ครอบคลุมการให้บริการตั้งแต่ระดับ Budget จนถึง Luxury Hotel ขณะที่ภายในปีนี้จะมีโรงแรมในพอร์ตรวมไม่น้อยกว่า 8 แห่ง 2,103 ห้องพัก หรือประเมินเป็นมูลค่า REIT ประมาณ 14,000 ล้านบาท” นายปิติพงษ์ กล่าว
นายปิติพงษ์ กล่าวอีกว่า สำหรับสถานการณ์ธุรกิจโรงแรมและธุรกิจท่องเที่ยวในปี 2565 นั้น มีแนวโน้มฟื้นตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด การประกาศยกเลิกมาตรการท่องเที่ยว Test & Go ที่มีผลเมื่อวันที่ 1 พ.ค.ที่ผ่านมา และแนวทางพิจารณาการเปิดประเทศอย่างเต็มรูปแบบ ถือเป็นสัญญาณอันดี ที่จะช่วยให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางมาท่องเที่ยวประเทศไทยอีกครั้ง บริษัทจึงมีแนวทางการดำเนินการ 3 ส่วนให้สอดรับกับทิศทางการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัว
ได้แก่ 1.การจับมือกับพันธมิตรด้านการท่องเที่ยว จัดแคมเปญหรือโปรโมชั่นดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติร่วมกัน 2.การปรับปรุงโรงแรม ibis ที่เพิ่งได้รับเข้ามา เพื่อให้มีความสดใหม่ พร้อมรองรับนักท่องเที่ยว 3.การเปิดให้บริการโรงแรมใหม่อีก 2 แห่ง ให้ได้ตามแผนงานในปีนี้ ได้แก่ โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล แบงค็อก สุขุมวิท (Intercontinental Bangkok Sukhumvit) โรงแรมสเตย์บริดจ์ สวีท แบงค็อก สุขุมวิท (Staybridge Suites Bangkok Sukhumvit)
สำหรับ โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล แบงค็อก สุขุมวิท ตั้งอยู่ในซอยสุขุมวิท 59 เป็นโรงแรมระดับ 5 ดาว จำนวนห้องพัก 241 ห้อง คาดว่าจะเปิดให้บริการได้ในช่วงไตรมาส 4 ของปีนี้ และโรงแรมสเตย์บริดจ์ สวีท แบงค็อก สุขุมวิท โรงแรมและเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ ระดับ 4 ดาว จำนวนห้องพัก 411 ห้อง ตั้งอยู่ในโครงการ One Origin 24 ใจกลางสุขุมวิท 24 คาดว่าจะเปิดให้บริการได้ในช่วงไตรมาส 3 ของปีนี้
นายปิติพงษ์ กล่าวอีกว่า นอกจากการดำเนินงานในกลุ่มธุรกิจโรงแรมภายใต้โรดแมปดังกล่าว บริษัทยังคงเปิดกว้างในการพิจารณาเข้าซื้อกิจการโรงแรมในทำเลศักยภาพ เพื่อเป็นทางลัดในการรับรู้รายได้อย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกัน บริษัทยังมีการดำเนินงานในกลุ่มธุรกิจอื่นๆ อีกหลากหลายธุรกิจ เช่น อาคารสำนักงาน คอมมูนิตี้มอลล์ และคอนโดมิเนียมในหัวเมือง คาดว่าธุรกิจจะสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง และเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยได้ตามแผนงาน โดยจะมีการแถลงภาพรวมทุกกลุ่มธุรกิจภายในปีนี้
บริษัท วัน ออริจิ้น จำกัด เป็นผู้ดำเนินธุรกิจที่สร้างรายได้ประจำ (Recurring Income) ในเครือ ORI ปัจจุบัน ดำเนินธุรกิจหลากหลายกลุ่ม อาทิ กลุ่มธุรกิจโรงแรม พัฒนาโครงการโรงแรมและเซอร์วิสอพาร์ทเมนท์ พร้อมทั้งจับมือกับแบรนด์โรงแรมชั้นนำระดับโลกเข้ามาบริหาร มีโรงแรมที่เปิดดำเนินการแล้ว 2 แห่ง ได้แก่ โรงแรมสเตย์บริดจ์ สวีท แบงค็อก ทองหล่อ และโรงแรมฮอลิเดย์ อินน์ แอนด์ สวีทส์ ศรีราชา-แหลมฉบัง และมีโรงแรมที่อยู่ระหว่างการพัฒนาอีกหลายแห่ง นอกจากนี้ ยังมีกลุ่มธุรกิจอาคารสำนักงาน กลุ่มธุรกิจศูนย์การค้า กลุ่มอาคารมิกซ์ยูส ไปจนถึงกลุ่มธุรกิจอาหาร
ขณะที่ ORI มีโครงสร้างธุรกิจหลากหลาย ประกอบด้วย 1.ธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อการขาย (Residential Development Business) พัฒนาคอนโดมิเนียมและบ้านจัดสรรมาแล้ว 103 โครงการ (ณ สิ้นไตรมาส 1/2565) เช่น แบรนด์ พาร์ค ออริจิ้น (PARK ORIGIN), ดิ ออริจิ้น (The Origin), ออริจิ้น ปลั๊ก แอนด์ เพลย์ (Origin Plug & Play), ไนท์บริดจ์ (KnightsBridge), นอตติ้ง ฮิลล์ (Notting Hill), เคนซิงตัน (Kensington), แฮมป์ตัน (Hampton), บริกซ์ตัน (Brixton) และ บริทาเนีย (BRITANIA) รวมมูลค่าโครงการกว่า 154,900 ล้านบาท 2.ธุรกิจที่สร้างรายได้ประจำ (Recurring Income Business) เช่น โรงแรม เซอร์วิสอพาร์ตเมนท์ อาคารสำนักงาน ค้าปลีก 3.ธุรกิจบริการ (Service Business) เช่น ธุรกิจการจัดการอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจตัวแทนซื้อ ขาย เช่า อสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ และยังมีวิสัยทัศน์ในการขยายประเภทธุรกิจใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง อาทิ ธุรกิจโลจิสติกส์ ธุรกิจเฮลท์แคร์ ธุรกิจบริหารสินทรัพย์ ธุรกิจพลังงาน ฯลฯ เพื่อยกระดับคุณภาพการใช้ชีวิตของผู้บริโภคแบบครบวงจร