4 โบรกเชียร์ซื้อ TOP เคาะเป้าสูง 76 บ. ลุ้นค่าการกลั่นพุ่ง ดัน Q2 กำไรนิวไฮใหม่

โบรกเชียร์ซื้อ TOP เคาะเป้าสูงสุด 76 บ. จับตาค่าการกลั่น-บุ๊กขายหุ้น GPSC ดัน Q2/65 กำไรนิวไฮใหม่ หลังจากไตรมาส 1 โชว์กำไร 7.18 พันลบ. โต 114%


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP รายงานผลการดำเนินงานไตรมาสแรก สิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2565 ออกมาดีกว่าฝ่ายวิจัยและตลาดคาดการณ์ไว้ หลักจากการเติบโตเด่นของค่าการกลั่นและรับรู้กำไรสต๊อกจำนวนมาก ส่งผลให้ไตรมาส 1 ปี 2565 มีกำไรสุทธิ 7,182.67 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 113.77% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 3,360.00 ล้านบาท

ทว่าหากไม่นับรวมกำไรสต๊อกน้ำมันรวม NRV จำนวน 1.2 หมื่นล้านบาท และกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน 311 ล้านบาท รวมถึงขาดทุนจากธุรกิจกรรมป้องกันความเสี่ยง 7.4 พันล้านบาท กำไรปกติอยู่ที่ 2.4 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 240% จากไตรมาสก่อนหน้า และเพิ่มขึ้น 114% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน

โดยแยกเฉพาะธุรกิจหลักพบว่า 1) ธุรกิจโรงกลั่นยังเป็นตัวขับเคลื่อนหลัก Market GRM ปรับตัวเพิ่มขึ้น 19% จากไตรมาสก่อน อยู่ที่ 6.4 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล จากส่วนต่างราคาน้ำมันสำเร็จรูปที่ปรับตัวดีขึ้นหลังหลายประเทศผ่อนคลาย ผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ และลดข้อจำกัดในการเดินทางระหว่างประเทศ ซึ่งสามารถชดเชยต้นทุน crude premium ที่ปรับขึ้นได้ โดยโรงกลั่นมีอัตราการใช้กำลังการกลั่น 109% ทรงตัวในระดับสูงตามสภาพตลาดที่ฟื้นตัว

2) ธุรกิจอะโรมาติกส์ P2F Margin ปรับตัวเพิ่มขึ้น 42% จากไตรมาสก่อน อยู่ที่ 27 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลหนุน จากการฟื้นตัวของส่วนต่างราคา PX แต่ส่วนต่างราคา BZ และ LAB ยังถูกกดดันจากราคา ต้นทุน feedstock รวมแล้วจึงส่งผลให้ Contribution GIM ลดลงอยู่ที่ 0.7 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล โดยโรงงาน TPX มีอัตราการใช้กำลังผลิตที่ 73% ส่วน LABIX มีอัตราการใช้กำลังผลิต 122%

3) ธุรกิจน้ำมันหล่อลื่น P2F Margin ปรับตัวลดลง 19% จากไตรมาสก่อน อยู่ที่ 96 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่วนต่างราคาน้ำมันหล่อลื่นปรับตัวลดลงจากอุปทานที่เพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากโรงกลั่นในภูมิภาคปรับเพิ่มกำลังการผลิต ประกอบกับส่วนต่างราคา Bitumen ที่อ่อนแอจากความต้องการใช้ที่ยังไม่ฟื้นตัว ส่งผลให้ Contribution GIM ลดลงอยู่ที่ 0.6 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล โดยโรงงาน TLB มีอัตราการใช้ กำลังผลิตที่ 89% รวมแล้วกำไรขั้นต้นจากการผลิตของกลุ่มที่ไม่รวมสต๊อกน้ำมัน (Market GIM) เพิ่มขึ้น 9% จากไตรมาสก่อนอยู่ที่ 7.6 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

ทั้งนี้เมื่อผลการดำเนินงานไตรมาส 1 ปี 2565 ออกมาดีกว่าฝ่ายวิจัยและตลาดคาดไว้ ดังนั้นเริ่มมีบทวิเคราะห์จากสำนักต่างๆออกมาประเมินแนวโน้มช่วงถัดไปโดยเฉพาะในช่วงไตรมาส 2 ปี 2565 ว่ายังเติบโตอย่างต่อเนื่องและอาจทำสถิติใหม่

บริษัทหลักทรัพย์ คิงส์ฟอร์ด จำกัด (มหาชน) ระบุว่าในบทวิเคราะห์ สำหรับแนวโน้มไตรมาส 2 ปี 2565 คาดกำไรปกติเติบโตต่อเนื่องจากไตรมาสก่อน โดยมีปัจจัยหนุนจากสถานการณ์ COVID ที่ผ่อนคลาย ทำให้หลายประเทศเริ่มลดข้อจำกัดในการเดินทาง ประกอบกับความ ขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนยังคงอยู่ ส่งผลให้ค่าการกลั่นปรับตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่ง อิงจากค่าการกลั่นสิงคโปร์ในไตรมาส 2 ปี 2565 (QTD) ที่สูงขึ้นเฉลี่ยอยู่ที่ 19-20 ดอลลาร์ต่อบาล์เรล แม้บ้างส่วนจะถูกหักล้างจากต้นทุน crude premium ทั้ง Murban และ Arab Light ที่สูงขึ้น ขณะที่ธุรกิจอะโรมาติกส์และน้ำมันหล่อลื่นยังถูกกดดันต่อ แต่จะมี Downside ไม่มากหลังส่วนต่างราคาปรับลดลงไปอยู่ในจุดที่ต่ำมากแล้ว

อย่างไรก็ตามในส่วนของกำไรสุทธิแม้ว่าอาจจะไม่มีการบันทึกกำไรสต๊อกฯ เป็นจำนวนมาเหมือนช่วงไตรมาส 1 ปี 2565 แต่จะได้ชดเชยจากการบันทึกกำไร พิเศษที่เกิดจากการขายหุ้น GPSC ให้แก่ PTT ในสัดส่วนราว 10.78% เข้ามาประมาณ 1.1 หมื่นล้านบาท ซึ่งยังไม่ได้รวมไว้ในประมาณการ โดยคงคาดการณ์กำไรปกติปี 2565 อยู่ที่ 9.6 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 131% จากงวดเดียวกันของปีก่อน และปี 2566 อยู่ที่ 1.06 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 11% จากงวดเดียวกันของปีก่อน

ดังนั้นแนะนำ “ซื้อ” จาก Valuation ในปี 2565 ค่า PBV ที่ 0.9 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลังในอดีต ประมาณ -1.25SD ประเมินราคาเหมาะสมปี 2565 อยู่ที่ 67.00 บาท อิง PBV Multiplier 1.1 เท่า สะท้อนค่าการกลั่นที่ปรับตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่ง และได้ประโยชน์จากการเป็นโรงกลั่นที่มีสัดส่วนการผลิต Gasoline / Jet / Diesel มากที่สุด ขณะที่มีมุมมองบวกต่อฐานกำไรที่จะเติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดด ภายหลังโครงการขยายกำลังการผลิต CFP และ CAP2 เสร็จ ซึ่งจะช่วยเพิ่ม Synergy ด้านวัตุดิบและการตลาดได้ในระยาว

บริษัท หลักทรัพย์ เคทีบีเอสที จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์ โดยเชื่อว่าธุรกิจโรงกลั่นจะยังดีขึ้นต่อเนื่องในไตรมาส 2 ปี 2565 จากแนวโน้ม crack spread ที่สูงซึ่งได้ประโยชน์จากสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครนที่ยืดเยื้อ ทั้งนี้ crack spread ของทุกผลิตภัณฑ์น้ำมันได้ปรับตัวสูงขึ้นจากไตรมาสก่อนถึงปัจจุบัน โดยเฉพาะ diesel และ jet fuel ที่สูงขึ้น 114% และ 128% ตามลำดับ

นอกจากนี้ หลังจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นมีมติ (เมื่อวันที่ 7 เม.ย. 2565) ให้ขายหุ้น GPSC จำนวน 304.1 ล้านหุ้นให้แก่บริษัท PTT และ/หรือบริษัท สยาม แมนเนจเมนท์ โฮลดิ้ง จำกัด ประเมินว่าบริษัทจะรู้ผลกำไรที่เป็นไปได้สูงกว่า 9 พันล้านบาทในไตรมาส 2 ปี 2565

โดยปรับประมาณการกำไรปี 2565 ขึ้น 117% มาอยู่ที่ 29.1 ล้านบาท ส่วนปี 2566 ขึ้น 43% มาอยู่ที่ 19.4 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 12.6 พันล้านบาทในปี 2564 โดยปัจจัยผลักดันหลักๆจาก 1) Market GRM ที่สูงขึ้นตาม crack spread ที่ดีขึ้นจากอุปสงค์ผลิตภัณฑ์น้ำมันที่ฟื้นตัว 2) Refinery throughput ที่สูงขึ้น 3) stock gain ที่สูงขึ้นในปี 2565 ตามแนวโน้มราคาน้ำมันดิบขาขึ้น และ 4) การรับรู้กำไรจากการขายหุ้น GPSC

ทั้งนี้ได้ราคาเป้าหมายปี 2565 ใหม่ที่ 76.00 บาท (เดิม 70.00 บาท) อิงปี 2565 PBV 1.11 เท่า (เทียบเท่า -0.25SD ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย PBV 5 ปีย้อนหลัง) ทั้งนี้เชื่อว่า TOP จะเห็นการเติบโตของกำไรอย่าง ต่อเนื่องในปี 2565 ซึ่งมีปัจจัยหนุนจากการฟื้นตัวของอุปสงค์การใช้ผลิตภัณฑ์น้ำมันสอดคล้องกับกิจกรรมทางเศรษฐกิจและการเดินทางทั่วโลก นอกจากนี้มองว่าผลกระทบจากการคว่ำบาตร (sanction) รัสเซียที่ทำให้ตลาดผลิตภัณฑ์น้ำมันทั่วโลกตึงตัวจะทำให้ crack spread สูงต่อเนื่องได้

บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์ว่า แนวโน้มกำไรของ TOP แข็งแกรงโดยมีคาการกลั่นตลาดสูงขึ้นเป็นเฉลี่ย 16-17 ดอลลาร์ ในไตรมาส 2 ปี 2565 รวมถึงมีกำไรหลังภาษี 1.1 หมื่นล้านบาท ในไตรมาส 2 ปี 2565 จากการขายหุ้น 10.78% ใน GPSC ซึ่ง TOP อยู่ระหวางดำเนินการเพิ่มทุน (เป้าหมาย 1.0 หมื่นลบ.) ซึ่งกระบวนการเสนอหุ้น, จองซื้อ, และนำเข้าใหม่เข้าจดทะเบียนในตลาดจะแลวเสร็จในไตรมาส 3 ปี 2565 จึงแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 63 บาท

บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด ระบุในบทวิเคราะห์ว่า คาดแนวโน้มกำไรปกติในไตรมาส 2 ปี 2565 จะยังดีต่อเนื่องจาก GRM ที่อยู่ในระดับ 10-15 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และจะยังมีกำไรจากการขายหุ้น GPSC ราว 1 หมื่นล้านบาท สำหรับแนวโน้มราคาน้ำมัน ยังมองว่าจะยังอยู่ในกรอบ 100-120 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

ทั้งนี้ยังคงประมาณการกำไรปกติปี 2565 ที่ 1.6 หมื่นล้านบาท (ไม่นับรวมกำไรพิเศษจากขาย GPSC) เพิ่มขึ้น 30% จากงวดเดียวกันของปีก่อน จากการฟื้นตัวของ GRM ที่แข็งแกร่ง

โดยคงราคาเป้าหมายปี 2565 ที่ 72 บาท อิง Avg PBV ที่ 1.1 เท่า และคงคำแนะนำ “ซื้อ” แนวโน้มค่าการกลั่นฟื้นตัวแรงกว่าคาด และการเปิดเดินทางในหลายประเทศเริ่มกลับมาใกล้ระดับปกติ และความต้องการน้ำมันสำเร็จรูปที่เพิ่มขึ้นจากปัญหาขาดแคลนน้ำมันดิบในกลุ่มประเทศยุโรปที่พึ่งพาน้ำมันจากรัสเซีย

Back to top button