MINT ส่งซิก Q2 กำไรแกร่ง อานิสงส์ “ภาคท่องเที่ยว” ทั่วโลกฟื้น

MINT ส่งซิกสร้างผลกำไรที่แข็งแกร่งได้ในไตรมาสที่ 2 ไตรมาสที่ 3 และไตรมาสที่ 4 จากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวทั่วโลกภายหลังจากที่สถานการณ์ COVID-19 ได้สิ้นสุดลง


บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT รายงานผลการดำเนินงานประจำไตรมาส 1 ปี 2565 โดยมีกำไรก่อนหักดอกเบี้ยจ่าย ภาษี และค่าเสื่อม (EBITDA) จากการดำเนินงานเติบโตมากกว่า 5 เท่า จากช่วงเดียวกันของปีก่อน อยู่ที่จำนวน 2,737 ล้านบาท เมื่อเทียบกับจำนวน 521 ล้านบาทในไตรมาส 1 ปี 2564 ซึ่งเป็นผลมาจากทั้ง 3 หน่วยธุรกิจของบริษัท โดย MINT มีผลการดำเนินงานที่ฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง ด้วย EBITDA จากการดำเนินงานที่เติบโตติดต่อกันเป็นเวลานานถึง 13 เดือน จากการผ่อนคลายข้อจำกัดในการป้องกันการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ในเกือบทุกภูมิภาคหลักของบริษัท ส่งผลให้มีกิจกรรมการเดินทางที่สูงขึ้น จำนวนลูกค้าในร้านอาหารที่เพิ่มขึ้น และสภาพแวดล้อมการดำเนินงานของธุรกิจค้าปลีกที่ฟื้นตัวขึ้น โดย EBITDA จากการดำเนินงานของธุรกิจโรงแรมพลิกฟื้นกลับมาเป็นบวก

ขณะที่ EBITDA จากการดำเนินงานของธุรกิจร้านอาหารและไลฟ์สไตล์ยังคงเป็นบวกและคาดว่าจะเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ผลขาดทุนสุทธิจากการดำเนินงานลดลงอย่างมีนัยสำคัญจาก 5,211 ล้านบาท ในไตรมาส 1 ปี 2564 เป็นจำนวน 3,582 ล้านบาท ในไตรมาส 1 ปี 2565 โดยเป็นผลส่วนใหญ่มาจากผลขาดทุนที่ลดลงของไมเนอร์ โฮเทลส์และผลกำไรที่พลิกฟื้นกลับมาเป็นบวกของไมเนอร์ ไลฟ์สไตล์ ในขณะที่ไมเนอร์ ฟู้ดยังคงมีผลกำไรที่เป็นบวกติดต่อกันเป็นไตรมาสที่ 7

ทั้งนี้หากนับรวมรายการที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว บริษัทมีผลขาดทุนสุทธิตามงบการเงินจำนวน 3,794 ล้านบาท ในไตรมาส 1 ปี 2565 เมื่อเทียบกับผลขาดทุนสุทธิจำนวน 7,250 ล้านบาท ในไตรมาส 1 ปี 2564 ทั้งนี้ด้วยฐานการดำเนินงานที่มีประสิทธิผลและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ประกอบกับความพยายามของบริษัทในการบริหารจัดการหนี้สิน (ซึ่งรวมถึงแผนการรีไฟแนนซ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการออกหุ้นกู้ประเภทไม่ด้อยสิทธิและไม่มีหลักประกันจำนวน 7 พันล้านบาทในไตรมาส 1 ปี 2565) จะช่วยให้บริษัทมีความพร้อมสำหรับการฟื้นตัวของธุรกิจในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า

สำหรับไมเนอร์ โฮเทลส์มีผลการดำเนินงานที่ฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งในทุกภูมิภาคของบริษัท โดยมี EBITDA จากการดำเนินงานที่กลับมาเป็นบวกอยู่ที่จำนวน 1,460 ล้านบาท เมื่อเทียบกับ EBITDA จากการดำเนินงานที่เป็นลบจำนวน 602 ล้านบาท ในไตรมาส 1 ปี 2564 ในขณะที่ผลขาดทุนจากการดำเนินงานของบริษัทลดลงอย่างมีนัยสำคัญอยู่ที่จำนวน 3,729 ล้านบาท ในไตรมาส 1 ปี 2565 เมื่อเทียบกับผลขาดทุนจากการดำเนินงานจำนวน 5,343 ล้านบาท ในไตรมาส 1 ปี 2564 โดยการฟื้นตัวดังกล่าวเป็นผลมาจากความสามารถในการทำกำไรที่เพิ่มขึ้นตามการเติบโตของรายได้ ประกอบกับความพยายามในการเพิ่มประสิทธิภาพของการดำเนินงานของธุรกิจโรงแรม

โดยกลุ่มโรงแรมในทวีปยุโรปมีผลการดำเนินงานที่ฟื้นตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นผลมาจากความต้องการที่เพิ่มขึ้นจากทั้งการเดินทางเพื่อการพักผ่อนและการเดินทางเพื่อธุรกิจ กลยุทธ์การกำหนดราคาที่ประสบความสำเร็จ และการกลับมาเปิดโรงแรมบางแห่งที่ได้ปิดให้บริการเป็นการชั่วคราวในปีที่ผ่านมา ส่งผลให้ในเดือนมีนาคมราคาค่าห้องพักเฉลี่ยฟื้นตัวกลับมาอยู่ที่ระดับก่อนการระบาดของโรค COVID-19 ในปี 2562 และเติบโตต่อไปสูงกว่าระดับดังกล่าวในเดือนเมษายน ส่วนผลการดำเนินงานของโรงแรมในประเทศมัลดีฟส์ยังคงแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง ด้วยรายได้เฉลี่ยต่อห้องต่อคืนที่สูงกว่าระดับก่อนการระบาดของโรค COVID-19 ติดต่อกันเป็นไตรมาสที่ 3

ขณะเดียวกันการผ่อนคลายเงื่อนไขของโครงการ Test & Go ในประเทศไทย ส่งผลให้มีจำนวนนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเดือนมีนาคม อีกทั้งการท่องเที่ยวภายในประเทศที่ยั่งยืนมีส่วนช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวของการดำเนินงานของโรงแรมในประเทศไทย ส่วนธุรกิจโรงแรมในประเทศออสเตรเลียมีผลการดำเนินงานที่ฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง ด้วยรายได้เฉลี่ยต่อห้องต่อคืนที่สูงกว่าระดับก่อนการระบาดของโรค COVID-19 ในอัตราร้อยละ 5 แม้ว่าจะมีสภาพอากาศที่เลวร้ายและสถานการณ์น้ำท่วมในรัฐควีนส์แลนด์และรัฐนิวเซาท์เวลส์ ประกอบกับข้อจำกัดต่างๆ ที่เกี่ยวกับโรค COVID-19 ในบางรัฐอีกด้วย

ส่วนไมเนอร์ ฟู้ดรายงาน EBITDA จากการดำเนินงานเติบโตร้อยละ 8 จากช่วงเดียวกันของปีก่อนในไตรมาส 1 ปี 2565 อยู่ที่ 1,160 ล้านบาท และยังคงมีผลกำไรจากการดำเนินงานที่เป็นบวก ซึ่งเป็นผลมาจากการเติบโตอย่างแข็งแกร่งของกลุ่มธุรกิจร้านอาหารในประเทศไทย แม้ว่าจะมีการปิดประเทศในประเทศจีน โดยร้านอาหารในประเทศไทยมีผลการดำเนินงานที่ปรับตัวดีขึ้นและมีผลกำไรที่เป็นบวก เนื่องมาจากจำนวนลูกค้าที่เพิ่มขึ้นจากทุกช่องทางการขาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนั่งรับประทานอาหารภายในร้านภายหลังจากที่รัฐบาลยกเลิกข้อจำกัดในเรื่องของเวลาการเปิดให้บริการและการเว้นระยะห่างระหว่างที่นั่งภายในร้านอาหาร ทั้งนี้ ในไตรมาส 1 ปี 2565 แบรนด์ทุกแบรนด์ของ

ทั้งนี้ไมเนอร์ ฟู้ดในประเทศไทยมียอดขายต่อร้านเดิมที่เติบโตขึ้น และมีความมุ่งมั่นในการยกระดับความพึงพอใจของลูกค้า ประสบการณ์การนั่งรับประทานอาหารภายในร้าน และคุณภาพการบริการผ่านโครงการการฝึกอบรมพนักงาน

อย่างไรก็ดี MINT ยังคงมุ่งเพิ่มสภาพคล่องและเสริมความแข็งแกร่งให้กับฐานะทางการเงิน โดยสถานะสภาพคล่องของ MINT ยังคงแข็งแกร่งด้วยเงินสดในมือจำนวน 2 หมื่นล้านบาท และวงเงินสินเชื่อจำนวน 3.20 หมื่นล้านบาท ณ สิ้นเดือนเมษายน 2565 นอกจากนี้ในส่วนของฐานะทางการเงิน MINT มีอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อส่วนของผู้ถือหุ้นอยู่ที่ 1.51 เท่า ซึ่งอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าเงื่อนไขตามพันธสัญญาหนี้ที่ 1.75 เท่า อย่างไรก็ตามบริษัทได้ประสบความสำเร็จในการขยายระยะเวลาการยกเว้นการทดสอบการดำรงอัตราส่วนทางการเงินดังกล่าวไปจนถึงสิ้นปี 2565

นอกจากนี้ บริษัทฟิทช์ เรตติ้งส์ได้ยกระดับอันดับเครดิตของเอ็นเอช โฮเทลส์ กรุ๊ป จากระดับ B- เป็นระดับ B และปรับแนวโน้มธุรกิจจากแนวโน้วเชิงลบเป็นแนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ ในขณะที่อันดับเครดิตของหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิและมีหลักประกันได้รับยกระดับอันดับเครดิตจากระดับ B+ เป็นระดับ BB- โดยอันดับเครดิตดังกล่าวสะท้อนถึงการฟื้นตัวของธุรกิจอย่างต่อเนื่องของเอ็นเอช โฮเทลส์ กรุ๊ป จากผลการดำเนินงานที่ฟื้นตัวและกิจกรรมการเดินทางทั่วโลกที่สูงขึ้นตามที่ได้คาดการณ์ไว้ ตลอดจนสถานะสภาพคล่องที่ดีขึ้น ซึ่งเป็นผลมาจากการรีไฟแนนซ์และการขายสินทรัพย์ในปี 2564

สำหรับภายหลังจากการผ่อนคลายข้อจำกัดในการป้องกันการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและการบริโภคจึงมีแนวโน้มในการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง โดยการเดินทางในช่วงฤดูร้อนและช่วงที่เหลือของปี 2565 ในทวีปยุโรปมีการฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง นอกจากนี้การเดินทางระหว่างประเทศของประเทศออสเตรเลียและไทยคาดว่าจะฟื้นตัวอย่างรวดเร็วจากการกลับมาเปิดพรมแดนระหว่างประเทศอย่างเต็มรูปแบบโดยไม่มีมาตรการการกักตัว

ขณะที่ประเทศมัลดีฟส์จะยังคงมีการฟื้นตัวที่แข็งแกร่งต่อไป สำหรับไมเนอร์ ฟู้ด การยกเลิกข้อจำกัดภายในร้านอาหารในประเทศไทยจะช่วยเพิ่มจำนวนลูกค้าที่มาใช้บริการได้อีกครั้ง อย่างไรก็ตาม แม้แนวโน้มระยะสั้นในประเทศจีนจะยังคงมีความไม่แน่นอนจากมาตรการที่เข้มงวดของรัฐบาลในการควบคุมการแพร่ระบาด แต่ MINT มั่นใจว่ายอดขายของสาขาร้านอาหารในประเทศจีนจะฟื้นตัวอย่างรวดเร็วเมื่อข้อจำกัดต่างๆ ได้ผ่อนคลายลง ส่วนในประเทศออสเตรเลีย การฟื้นตัวของจำนวนนักท่องเที่ยวและนักเดินทางเพื่อธุรกิจจะมีส่วนช่วยในการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโดยรวม ในขณะที่การดำเนินงานคาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นภายหลังจากการผ่อนปรนข้อจำกัดในการป้องกันการแพร่ระบาดของโรค COVID-19

นายดิลลิป ราชากาเรีย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มของ MINT กล่าวว่า รู้สึกตื่นเต้นที่จะแจ้งว่าบริษัทยังคงมีแนวโน้มของผลการดำเนินงานที่เป็นบวกตามแผนเพื่อที่จะบรรลุผลการดำเนินงานในระดับก่อนเกิดการระบาดของโรค COVID-19 โดยกลุ่มโรงแรมในกรุงโรม บาร์เซโลนา เบอร์ลิน อัมสเตอร์ดัม และมาดริดมีอัตราการเข้าพักอยู่ที่ร้อยละ 70 ถึง 90 ในเดือนเมษายน 2565 ซึ่งเมืองดังกล่าวล้วนแล้วแต่เป็นฐานการดำเนินงานหลักสำหรับธุรกิจโรงแรม ทั้งนี้ด้วยยอดการจองโรงแรมล่วงหน้าที่สูงและฐานการดำเนินงานของธุรกิจร้านอาหารที่แข็งแกร่ง จึงมั่นใจว่า MINT จะสามารถสร้างผลกำไรที่แข็งแกร่งได้ในไตรมาสที่ 2 ไตรมาสที่ 3 และไตรมาสที่ 4 จากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวทั่วโลกภายหลังจากที่สถานการณ์ COVID-19 ได้สิ้นสุดลง

Back to top button