CIVIL งบ Q1 กำไร 40 ลบ. ส่งซิกไตรมาส 2 โตเด่น มั่นใจคุมต้นทุนดี ลุยผนึกพันธมิตรใหม่

CIVIL โชว์งบไตรมาส 1/65 รายได้รวม 1.6 หมื่นล้านบาท กำไรแตะ 40.31 ลบ. มั่นใจไตรมาส 2/65 มุ่งปรับกลุยุทธ์บริหารโครงการ เน้นคุมต้นทุน ลุยประมูลงานใหม่ภาครัฐ-เอกชน พร้อมผนึกพันธมิตรสร้าง New S-Curve ดันแบ็คล็อกตามเป้า 1.5-2.0 หมื่นพันลบ.


นายปิยะดิษฐ์ อัศวศิริสุข ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซีวิลเอนจีเนียริง จำกัด (มหาชน) หรือ CIVIL เปิดเผยว่า ภาพรวมธุรกิจก่อสร้างในปีนี้ยังคงได้รับผลกระทบจากต้นทุนวัสดุก่อสร้างที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ตามสถานการณ์เงินเฟ้อและพลังงานในตลาดโลก และคาดว่าในอนาคตอันใกล้จะมีแรงกดดันจากต้นทุนแรงงานเข้ามาเพิ่มเติม

โดยปัจจัยดังกล่าวทำให้ผู้ประกอบการทุกรายในภาคธุรกิจมีความจำเป็นต้องปรับตัว ทั้งในด้านการบริหารต้นทุน และการบริหารงานก่อสร้างอย่างรัดกุมยิ่งขึ้น ซึ่งบริษัทได้ดำเนินการเรื่องดังกล่าวมาอย่างต่อเนื่อง ด้วยการนำเทคโนโลยีมาช่วยในงานก่อสร้าง อีกทั้งมีการติดตามแผนงานก่อสร้าง และราคาวัสดุอย่างใกล้ชิด ส่งผลให้ความสามารถในการทำกำไรเริ่มดีขึ้นเล็กน้อย โดยอัตรากำไรสุทธิในไตรมาส 1/2565 อยู่ที่ 2.44% เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 4/2564 ที่มีอัตรากำไรสุทธิ 1.69%

สำหรับผลประกอบการผลประกอบการไตรมาส 1/2565 บริษัทมีรายได้รวม 1,649.42 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้รวม 1,186.82 ล้านบาท จำนวน 462.60 ล้านบาท หรือ 38.98% และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 40.31 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 69.15 ล้านบาท จำนวน 28.84 ล้านบาท หรือ 41.71% ขณะที่เมื่อเทียบกับไตรมาส 4/2564 กำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 17.82 ล้านบาท หรือ 79.24%

ทั้งนี้ บริษัทมีรายได้เพิ่มขึ้นจากงานรับเหมาโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ อาทิ งานก่อสร้างทางรถไฟความเร็วสูง, งานก่อสร้างทางหลวง และ งานก่อสร้างสนามบิน โดยบริษัทมีการทยอยรับรู้รายได้อย่างต่อเนื่อง อีกทั้งมีการบริหารจัดการโครงการที่ดี ทำให้สามารถส่งมอบงานได้รวดเร็ว และรับรู้รายได้ภายในกรอบระยะเวลาของสัญญาโครงการ

ส่วนกำไรสุทธิที่ปรับตัวลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สาเหตุจากราคาต้นทุนด้านวัสดุก่อสร้างที่ปรับตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะราคาเหล็ก คอนกรีต และราคาน้ำมัน ซึ่งส่งผลกระทบเป็นวงการต่ออุตสาหกรรมก่อสร้าง อีกทั้งงานก่อสร้างที่ดำเนินการช่วงไตรมาส 1/2565 เป็นงานที่มีมาร์จิ้นไม่สูงมาก

ด้านทิศทางการดำเนินงานในไตรมาส 2/2565 โดยบริษัทยังคงมุ่งเน้นการบริหารจัดการต้นทุนการก่อสร้าง พร้อมทั้งประเมินสถานการณ์และปรับกลยุทธ์การบริหารต้นทุนให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม เพื่อรักษาความสามารถในการทำกำไรให้อยู่ในระดับที่ดี อีกทั้งบริษัทมีความมุ่งมั่นในการเพิ่มขีดความสามารถในการบริหารงานก่อสร้างให้มีความรวดเร็วและปลอดภัย ด้วยการใช้เทคโนโลยีและเครื่องจักรที่ทันสมัย เพื่อให้งานในมือแล้วเสร็จอย่างรวดเร็ว มีคุณภาพสูง และบริหารจัดการ Supply Chain เพื่อลดความผันผวนของราคาต้นทุนที่เปลี่ยนแปลง

นอกจากนี้บริษัทมีความพร้อมในการเข้ารับงานใหม่ทั้งโครงการภาครัฐและเอกชน โดยเฉพาะโครงการเมกะโปรเจกต์, โครงการขนาดใหญ่โดยการร่วมทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน (Public Private Partnership หรือ PPP) รวมถึงการเจรจากับพันธมิตรภาคเอกชนรายใหม่ที่จะช่วยสร้าง New S-Curve เพื่อสร้างการเติบโตให้กับบริษัท และเพิ่มมูลค่างานในมือ (Backlog) ให้ได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ในระดับ 15,000 – 20,000 ล้านบาท โดยปัจจุบันบริษัทมีมูลค่างานในมืออยู่ที่ 14,200 ล้านบาท (ณ วันที่ 31 มีนาคม 2565) ทยอยรับรู้รายได้ต่อเนื่องจนถึงปี 2567

Back to top button