JWD จ่อปิดดีล M&A ใหม่ มองแนวโน้ม “ขนส่ง-คลังสินค้า” โตต่อครึ่งปีหลัง
JWD เปิดฉากไตรมาส 1 กวาดรายได้รวม 1,410 ลบ. เติบโต 23% มีกำไรสุทธิ 125.7 ลบ. ย้ำแผนขยายลงทุนต่อเนื่อง คาดสรุปดีล M&A เร็วๆ นี้ มองแนวโน้มธุรกิจขนส่งสินค้าและคลังสินค้าทำผลงานโดดเด่นในช่วงที่เหลือของปี
ดร.เอกพงษ์ ตั้งศรีสงวน ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน บริษัท เจดับเบิ้ลยูดี อินโฟโลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ JWD ผู้เชี่ยวชาญด้านโลจิสติกส์และซัพพลายเชนระดับอาเซียน เปิดเผยว่า บริษัทฯ ทำผลการดำเนินงานไตรมาส 1/2565 เติบโตตามเป้าหมาย แม้มีความท้าทายจากปัจจัยต่าง ๆ กดดันภาพรวมเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจ
โดยมีรายได้รวม 1,410 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 125.7 ล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 140.8 ล้านบาท อย่างไรก็ตามหากไม่นับรวมกำไรพิเศษที่เกิดขึ้นในช่วงเดียวกันของปีก่อนจำนวน 44 ล้านบาท บริษัทฯ จะมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 29.9%
สำหรับการเติบโตดังกล่าวมาจากธุรกิจขนส่งสินค้าที่มีรายได้ 323.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 148.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากรับรู้รายได้จากการเข้าลงทุนในบริษัท วีเอ็นเอส ทรานส์ปอร์ต จำกัด (VNS) และมีดีมานด์จากการขนส่งเพิ่มขึ้น เช่น บริการขนส่งสินค้าทั่วไป, ขนส่งยานยนต์และอะไหล่, ขนส่งสินค้าควบคุมอุณหภูมิ
ส่วนธุรกิจรับฝากและบริหารสินค้าอันตราย มีรายได้ 152.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.9% ธุรกิจคลังสินค้าห้องเย็น มีรายได้ 207.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.2% ธุรกิจฟู้ดเซอร์วิสที่เข้าลงทุนใน CSLF มีรายได้ 295.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15.1% ธุรกิจคลังสินค้าทั่วไป มีรายได้ 107.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.0% และธุรกิจขนย้าย มีรายได้ 56.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 47.0% นอกจากนี้ธุรกิจที่เข้าลงทุน เช่น Transimex ประเทศเวียดนาม, บริษัท อีสเทิร์นซี แหลมฉบัง เทอร์มินอล จำกัด (ESCO) ในประเทศไทย สามารถสร้างผลกำไรที่ดีอย่างต่อเนื่อง
ด้านนายชวนินทร์ บัณฑิตกฤษดา ประธานกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร JWD กล่าวว่า แม้ปัจจุบันมีความกังวลภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวจากปัญหาความขัดแย้งรัสเซีย-ยูเครน การชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐและปัญหาเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตามบริษัทฯ ยังคงพิจารณาโอกาสลงทุนทั้งในรูปแบบของการขยายธุรกิจปัจจุบัน ร่วมทุนกับพาร์ทเนอร์ การเข้าลงทุนและควบรวมกิจการ (M&A) ในธุรกิจที่มีศักยภาพ เนื่องจากปัจจัยต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นไม่ได้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างการเจรจาเพื่อเข้าควบรวมกิจการเพิ่มเติม คาดว่าจะได้ข้อสรุปในเร็ว ๆ นี้
ขณะเดียวกันการขยายการลงทุนต่าง ๆ ยังเป็นไปตามแผนงานที่วางไว้ เช่น การพัฒนาคลังห้องเย็นในย่านบางนาภายใต้บริษัท แอลฟา อินดัสเทรียล โซลูชั่น จำกัด ที่ร่วมทุนกับ บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI คาดว่าจะแล้วเสร็จสมบูรณ์ในไตรมาส 3/2565, การก่อสร้างคลังห้องเย็นในจังหวัดสระบุรี (บริษัทลงทุนเอง 100%) คาดว่าจะแล้วเสร็จไตรมาส 4/2565, การร่วมทุนกับ บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TU ก่อสร้างคลังห้องเย็น PACT คาดว่าจะแล้วเสร็จไตรมาส 1/2566 ส่วนความคืบหน้าการเพิ่มสัดส่วนถือหุ้นใน ESCO เป็น 20% จากปัจจุบันอยู่ที่ 15% คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในครึ่งปีหลังตามแผน โดยประเมินในปีนี้บริษัทฯ จะรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจาก ESCO ตลอดทั้งปีไม่ต่ำกว่า 80–90 ล้านบาท
ทั้งนี้ ภายใต้สถานการณ์ปัจจุบันมั่นใจว่าบริษัทฯ จะสามารถสร้างการเติบโตได้อย่างต่อเนื่องในช่วงที่เหลือของปีนี้ เพื่อบรรลุเป้าหมายรายได้รวมทั้งปีไม่ต่ำกว่า 6,000 ล้านบาท โดยมองว่าดีมานด์ในภาคธุรกิจโลจิสติกส์และซัพพลายเชนยังมีอย่างต่อเนื่อง คาดว่าธุรกิจที่มีแนวโน้มขยายตัวได้ดีและขับเคลื่อนการเติบโตให้กับบริษัทฯ ในช่วงที่เหลือของปีนี้
ได้แก่ ธุรกิจขนส่งสินค้าที่มีแผนรุกขยายการการรับขนส่งสินค้าข้ามแดนระหว่างจีน สปป.ลาว ไทย เพิ่มขึ้น ธุรกิจคลังสินค้าห้องเย็น คลังสินค้าทั่วไปและคลังสินค้าอันตราย ที่มีความต้องการใช้บริการอยู่ในระดับที่ดี ส่วนธุรกิจรับฝากและบริหารยานยนต์คาดว่าจะเห็นการปรับตัวดีขึ้นในช่วงครึ่งปี หลังของปีนี้ ภายหลังสถานการณ์ขาดแคลนชิปในอุตสาหกรรมยานยนต์เริ่มคลี่คลาย ซึ่งจะส่งผลดีต่อการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ