“ดาวโจนส์” ทะยานเฉียด 700 จุด ขานรับ “ไบเดน” ส่งสัญญาณยุติสงครามการค้าจีน

“ดาวโจนส์” ทะยานเฉียด 700 จุด แตะ 31,936.35 จุด คาดนักลงทุนขานรับ "ไบเดน" ส่งสัญญาณยุติสงครามการค้าจีน เล็งยกเลิกการเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน หวังสกัดการพุ่งขึ้นของราคาสินค้าในสหรัฐ


ดัชนีดาวโจนส์พุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่องในวันนี้ ล่าสุดทะยานกว่า 600 จุด ขานรับประธานาธิบดีโจ ไบเดนเตรียมยุติสงครามการค้ากับจีน

โดย ณ เวลา 23.12 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 31,936.35 จุด บวก 674.45 จุด หรือ 2.16%

ทั้งนี้ได้ปัจจัยหนุนจากการที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ส่งสัญญาณเตรียมยุติสงครามการค้ากับจีนในวันนี้ โดยกล่าวว่า เขากำลังพิจารณาที่จะปรับลดภาษีสินค้านำเข้าจากจีน

ผมกำลังพิจารณาเรื่องนี้ โดยเราไม่ได้เป็นผู้กำหนดมาตรการเก็บภาษีดังกล่าว แต่เป็นรัฐบาลชุดที่แล้ว” ปธน.ไบเดนกล่าวในการแถลงข่าวร่วมกับนายฟูมิโอะ คิชิดะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น

ด้านนายเจค ซัลลิแวน ที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐ กล่าวก่อนหน้านี้ว่า ปธน.ไบเดนอาจทำการเจรจากับประธานาธิบดีสี จิ้นผิงในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า

ผมจะไม่แปลกใจหากปธน.ไบเดนและปธน.สีจะมีการหารือกันในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า” นายซัลลิแวนกล่าว

ทั้งนี้ถ้อยแถลงของปธน.ไบเดนในวันนี้เป็นการกล่าวย้ำสิ่งที่เขาเคยกล่าวไว้เมื่อวันที่ 10 พ.ค.ว่า รัฐบาลสหรัฐจะยกเลิกการเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน โดยมีเป้าหมายที่จะสกัดการพุ่งขึ้นของราคาสินค้าในสหรัฐ

ทั้งนี้ ปธน.ไบเดนกล่าวว่า ทำเนียบขาวกำลังทบทวนมาตรการเก็บภาษีนำเข้าที่อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์เคยบังคับใช้ และมีแนวโน้มที่จะยกเลิกทั้งหมด เนื่องจากการกำหนดภาษีนำเข้าดังกล่าวได้ส่งผลให้ราคาสินค้าทุกประเภทในสหรัฐปรับตัวสูงขึ้น ตั้งแต่ผ้าอ้อมเด็กไปจนถึงเสื้อผ้าและเฟอร์นิเจอร์

เรากำลังประเมินสถานการณ์ว่า อะไรที่จะทำให้เกิดผลกระทบในเชิงบวกมากที่สุด และเรากำลังพิจารณาการยกเลิกมาตรการเก็บภาษีที่บังคับใช้อยู่ในปัจจุบัน” ปธน.ไบเดนกล่าว

ก่อนหน้านี้ อดีตปธน.ทรัมป์ประกาศสงครามการค้ากับจีนด้วยการออกมาตรการเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีน โดยมีความตั้งใจที่จะส่งเสริมสินค้าที่ผลิตโดยชาวอเมริกัน

นักเศรษฐศาสตร์เชื่อว่าการยกเลิกมาตรการจัดเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนจะช่วยบรรเทาปัญหาเงินเฟ้อในสหรัฐ โดยการผ่อนปรนหรือการยกเลิกมาตรการเรียกเก็บภาษีนำเข้าทั้งหมด อาจเป็นหนึ่งในทางเลือกเพียงไม่กี่ทางที่ทำเนียบขาวจำเป็นจะต้องทำเพื่อฉุดต้นทุนสินค้าทุกประเภทให้ลดลง หลังจากที่เงินเฟ้อพุ่งสูงสุดในรอบ 40 ปี

ดัชนีดาวโจนส์ร่วงลง 2.9%ในสัปดาห์ที่แล้ว ขณะที่ดัชนี S&P 500 ดิ่งลง 3.0% และดัชนี Nasdaq ทรุดตัวลง 3.8% โดยดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวลงติดต่อกันเป็นสัปดาห์ที่ 8 ซึ่งเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2466 ขณะที่ดัชนี S&P 500 และดัชนี Nasdaq ร่วงลงเป็นสัปดาห์ที่ 7 ซึ่งเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2544

นักลงทุนยังคงจับตาการรายงานผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน โดยบริษัท Zoom Video Communications Inc ซึ่งเป็นผู้ให้บริการวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ จะเปิดเผยผลประกอบการในวันนี้

นอกจากนี้ ตลาดจับตารายงานการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ประจำวันที่ 3-4 พ.ค. ซึ่งจะมีการเปิดเผยในวันพุธ เพื่อหาทิศทางอัตราดอกเบี้ยและการปรับลดขนาดงบดุล (Quantitative Tightening : QT) ของเฟด

ทั้งนี้ FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า ขณะนี้นักลงทุนให้น้ำหนัก 100% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างน้อย 0.50% ในการประชุมนโยบายการเงินอีก 2 ครั้ง ทั้งในเดือนมิ.ย.และก.ค. หลังจากที่เฟดเพิ่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% ในเดือนพ.ค. เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนพ.ค.2543 และเป็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งใหญ่ที่สุดในรอบกว่า 20 ปี

ขณะเดียวกัน เฟดเตรียมปรับลดขนาดงบดุล โดยจะเริ่มดำเนินการตั้งแต่เดือนมิ.ย. ซึ่งเฟดจะลดขนาดงบดุลในวงเงิน 4.75 หมื่นล้านดอลลาร์/เดือน และหลังจากนั้น 3 เดือน เฟดจะเพิ่มการลดขนาดงบดุลเป็น 9.5 หมื่นล้านดอลลาร์/เดือน

Back to top button