เล็ง 4 หุ้น “รพ.” ครึ่งปีหลังกำไรแกร่ง อานิสงส์ “ผู้ป่วยต่างชาติ” คัมแบค

“ผู้ป่วยต่างชาติ” รีเทิร์นเข้ารักษาไทย หลังเปิดประเทศเต็มตัว ส่งผลบวก BH, BDMS, PR9 และ EKH หนุนรายได้เติบโตปกติดังช่วงก่อนหน้าเกิดโควิด ดันกำไรแกร่ง


บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบีเอสที จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์โดยคาดว่า โรงพยาบาลขนาดใหญ่จะได้รับอานิสงส์จากผู้ป่วยต่างชาติ โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าตะวันออกกลาง และกลุ่ม CLMV คือ กัมพูชา, สปป.ลาว, เมียนมา และเวียดนาม ที่เริ่มฟื้นตัวหลังมีการผ่อนคลายการเข้าประเทศมากขึ้น และมีนโยบายยกเลิกตรวจ RT-PCR และ ATK ซึ่งจะทำให้ผู้ป่วยเดินทางเข้ามาในประเทศได้ง่ายมากขึ้น

โดยมีนักท่องจากตะวันออกกลางในเดือนมี.ค. 2565 จำนวน 17,997 คน และในเดือนเม.ย. 2565 จำนวน 15,419 คน ซึ่งลดลงเนื่องจากเป็นเทศกาล Ramadan จึงทำให้ชาวมุสลิมไม่นิยมเดินทางและหาหมอในช่วงระยะเวลานี้ คาดว่าจะเห็นจำนวนนักท่องเที่ยวตะวันออกกลางราว 20,000 คนในเดือนพ.ค.2565

ทั้งนี้หุ้นที่จะได้รับอานิสงส์เชิงบวกจากการกลับมาของผู้ป่วยต่างชาติ ได้แก่ บริษัท โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BH, บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) หรือ BDMS และ บริษัท โรงพยาบาลพระรามเก้า จำกัด (มหาชน) หรือ PR9 เนื่องจากรายได้ช่วงโควิดที่หายไปเป็นรายได้จากลูกค้าต่างประเทศ แต่ทั้งนี้หากจีนเปิดประเทศมากขึ้นจะทำให้หุ้น บริษัท เอกชัยการแพทย์ จำกัด (มหาชน) หรือ EKH ได้รับผลประโยชน์จากรายได้ของ IVF ที่หายไปในช่วงโควิดและจีนมีนโยบายให้มีลูก 3 คนได้ เมื่อกลางปี 2564 จากเดิมสามารถมีลูกได้เพียง 2 คนซึ่งในปี 2562 (ช่วงก่อนโควิด) โดย EKH มีรายได้ของ IVF อยู่ 10% จากสัดส่วนรายได้ทั้งหมด

สำหรับรายได้ผู้ป่วยโรคทั่วไปกลับมาฟื้นตัวดีขึ้นเทียบเท่าก่อนโควิดทั้งรายได้เงินสดและประเภทประกันสังคมโรคร้ายแรง เนื่องจากรายได้ในส่วนนี้ได้รับผลกระทบจากโควิดที่ผ่านมา และได้กลับมาฟื้นตัวในช่วงปลายปี ในไตรมาส 4/2564 เนื่องจากมีความกังวลต่อโรคระบาดลดลง และระยะการติดเชื้อของโอมิครอนมีระยะสั้นและอาการไม่สาหัสมาก การระบาดของโอมิครอน-เดลต้า มีความรุนแรงที่ต่างกันเมื่อเทียบกันกับอัตราการเสียชีวิตและการติดเชื้อต่างกัน 10 เท่า ประกอบกับประชากรได้รับวัคซีนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยได้รับวัคซีนเข็มที่ 1 เป็นจำนวน 50 ล้านโดส และวัคซีนเข็มที่ 2 เป็นจำนวน 45 ล้านโดส ทำให้ประชากรมีภูมิคุ้มกันต่อโควิดมากขึ้น

นอกจากนั้นรายได้โควิดที่กำลังจะหายไป รายได้จากผู้ป่วยต่างประเทศสามารถทดแทนในส่วนโควิดได้เช่นกันในปี 2565 ทางฝ่ายวิจัยคาดว่ากลุ่มโรงพยาบาลสามารถทำกำไรเกือบเทียบเท่าก่อนโควิดและในปี 2566 ทำกำไรได้เท่ากับก่อนโควิด

ขณะที่ธุรกิจ Wellness center เป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่น่าสนใจ เนื่องจากประชากรที่มีอายุ 55 ปีขึ้นไปมีอัตราที่สูงขึ้นในขณะที่ประชากรในวัยเด็กนั้นมีอัตราที่ลดลง ทำให้มีคนสนใจและดูแลเรื่องสุขภาพมากขึ้นกว่าเดิมสำหรับ Wellness tourism คาดว่าโต 20% ในปี 2568 ซึ่งประเทศไทยมีข้อได้เปรียบเนื่องจากเป็นประเทศท่องเที่ยวและมีทีมแพทย์และเครื่องมือที่พร้อมโดยปัจจุบันโรงพยาบาลที่เปิดให้บริการ Wellness Center ได้แก่ BDMS, BH, THG

อย่างไรก็ดีทางฝ่ายวิจัยได้ปรับคำแนะนำกลุ่ม Healthcare เป็น Overweight จากเดิม Neutral เพื่อสะท้อนการเปิดประเทศและการกลับมาของผู้ป่วยต่างชาติ อีกทั้งผู้ป่วย Non-covid ก็ปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยหุ้นที่ได้รับประโยชน์จากการกลับมาของผู้ป่วยต่างชาติเรียงจากมาก-น้อย ได้แก่

บริษัท โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BH โดย Bloomberg consensus กำหนดราคาเป้าหมายที่ 175.50 บาท ซึ่งบริษัทฯมีสัดส่วนลูกค้าต่างชาติอยู่ที่ 45% ของรายได้ทั้งหมด คาดรายได้ผู้ป่วยต่างชาติจะปรับตัวเพิ่มขึ้น 5-10% จากไตรมาสก่อน ตั้งแต่ไตรมาส 2/2565 เป็นต้นไป หลังไทยกลับมาเปิดประเทศมากขึ้น

บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) หรือ BDMS โดยยังคงแนะนำ “ซื้อ” ให้ราคาเป้าหมาย 31 บาท อิงค่า PER ปี 2566 ที่ 44 เท่า ซึ่งกำไรปี 2565 โต 18% จากงวดเดียวกันของปีก่อนมาจากการกลับมาของลูกค้าต่างชาติ ส่งผลให้ทางฝ่ายวิจัยคาดว่าจะเห็นสัดส่วนรายได้ผู้ป่วยต่างชาติกลับมาใกล้เคียงระดับปกติที่ 25% จากปัจจุบันอยู่ที่ 22% ของรายได้รวม และ GPM ปี 2565 จะปรับตัวเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 35% จาก 34.50% จากนโยบายควบคุมต้นทุนของบริษัท ในปี 2564 ซึ่งปัจจุบัน BDMS เทรดที่ค่า PER ปี 2566 ที่ 37.10 เท่า

บริษัท โรงพยาบาลพระรามเก้า จำกัด (มหาชน) หรือ PR9 โดยยังคงแนะนำ “ซื้อ” ให้ราคาเป้าหมาย 17.50 บาท อิงค่า PER ปี 2565 ที่ 33 เท่าโดยกำไรปี 2565 โต 68% จากงวดเดียวกันของปีก่อนเนื่องจากเป็นโรงพยาบาลที่ไม่ได้เน้นรายได้จากโควิดเหมือนโรงพยาบาลอื่นๆ ทำให้การฟื้นตัวในปี 2565 มาจากฐานต่ำในปี 2564 ทั้งนี้ปัจจุบัน PR9 เทรดที่ค่า PER ปี 2565 ที่ 27.20 เท่า

บริษัท เอกชัยการแพทย์ จำกัด (มหาชน) หรือ EKH โดยยังคงแนะนำ “ซื้อ” ให้ราคาเป้าหมาย 8 บาท โดย Key catalysts ในปี 2565 คือ ลูกค้า IVF จากประเทศจีน โดยดีมานด์จากประเทศจีนจะถูกโดยนโยบายการมีลูกคนที่ 3 แต่อย่างก็ตามทางฝ่ายวิจัยคาดลูกค้า IVF จะค่อยๆกลับมาฟื้นตัวโดยจะเห็นการฟื้นตัวในครึ่งปีหลัง 2565ซึ่งลูกค้าจีนอยู่ราว 10% ของรายได้รวมปี 2562 ปัจจุบัน EKH เทรดที่ค่า PER ปี 2565 ที่ 23.40 เท่า

Back to top button