FSSIA ชู 2 หุ้น ESSO-BCP ท็อปพิก! รับธุรกิจปั๊มโตแกร่ง-ไร้ขาดทุนเฮดจิ้งน้ำมัน
FSSIA ชู ESSO-BCP เป็นท็อปพิกกลุ่มหุ้นการกลั่นไทย รับค่าการกลั่นพุ่ง ไร้ขาดทุนเฮดจิ้ง-ธุรกิจปั๊มขยายตัว หนุนกำไรแกร่ง โบรกประเมินราคาเป้าหมาย ESSO ไว้ที่ 12.90 บาท และ BCP ไว้ที่ 40 บาท
นายสุวัฒน์ สินสาฎก กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ที่ปรึกษาการลงทุน เอฟเอสเอส อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด หรือ FSSIA คาดว่าอุปทานการกลั่นของโลกจะยังคงตึงตัวในปี 2565 จนถึงปี 2567 จากผลของอุปทานที่น้อยลงจากการปิดตัวอย่างถาวรของโรงกลั่นทั่วโลกที่มีกำลังผลิตรวมกว่า 3 ล้านบาร์เรลต่อวัน รวมถึงกำลังการกลั่นที่ลดลงในยุโรปจากน้ำมันที่จ่ายมาจากรัสเซียลดลงอย่างกระทันหัน และอุปทานที่จำกัด ส่วนฝั่งเอเชียแปซิฟิกคาดว่าจะมีอุปทานเพิ่มขึ้นเพียง 0.8 ล้านบาร์เรลต่อวัน ในขณะที่ความต้องการทั่วโลกยังคงสูง และการส่งออกของจีนหดตัวลงอย่างต่อเนื่อง
ส่วนความต้องการแก๊สโซลีน ดีเซล น้ำมันอากาศยานในโลกคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 3-5 ล้านบาร์เรลต่อวันในปี 2565 ผลักดันจากช่วงไฮซีซั่นในเอเชีย และสหรัฐ นอกจากนั้นด้วยปริมาณน้ำมันสำรองที่ต่ำของสหรัฐ ยุโรป และเอเชีย ซึ่ง FSSIA ยังคงมองว่ามาร์จิ้นของแก๊สโซลีน ดีเซล น้ำมันอากาศยานของดูไบจะยังยืนอยู่เหนือ 30 เหรียญต่อบาร์เรลในครึ่งปีหลัง 2565
ทั้งนี้การกลับมาของเที่ยวบินระหว่างประเทศ และเที่ยวบินข้ามทวีปที่มีระยะทางยาว รวมทั้งมีอัตราการเผาผลาญน้ำมันอากาศยานในระดับสูง จะช่วยทำให้ความต้องการน้ำมันอากาศยานปรับตัวสูงขึ้นมาที่ระดับ 7.2 ล้านบาร์เรลต่อวันภายในสิ้นปี 2565 ซึ่งคิดเป็น 90% ของช่วงก่อนโควิดที่มีความต้องการการใช้น้ำมันอากาศยานอยู่ที่ 8 ล้านบาร์เรลต่อวัน และจะทำให้ค่าการกลั่นยืนอยู่ราว 15 เหรียญต่อบาร์เรล
ขณะเดียวกันยังมองว่าผลขาดทุนด้านการป้องกันความเสี่ยงกับกำไรจากธุรกิจที่ไม่ใช่การกลั่นจะเป็นตัวชี้วัดกำไรสุทธิของหุ้นโรงกลั่น และจะเปิดทางให้บริษัทได้รับประโยชน์สูงสุดจากช่วงค่าการกลั่นขาขึ้นในปีนี้ ซึ่ง FSSIA มองว่าในช่วงไตรมาส 1/2565 บริษัทที่ทำธุรกิจโรงกลั่นทั้ง 3 ของ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT ได้แก่ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP, บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC และบริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) หรือ IRPC เผชิญกับผลขาดทุนด้านการป้องกันความเสี่ยงค่อนข้างมาก (TOP ประมาณ 8.2 เหรียญต่อบาร์เรล, PTTGC ประมาณ 16.6 เหรียญต่อบาร์เรล และ IRPC ประมาณ 5.8 เหรียญต่อบาร์เรล) และจะยังคงสูงต่อเนื่องในไตรมาส 2/2565 จากนโยบายการป้องกันความเสี่ยง 50%
ส่วน บริษัท สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ SPRC เป็นหุ้นโรงกลั่น 100% ที่ไม่มีการประกอบธุรกิจอื่น ในขณะที่ บริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ ESSO มีธุรกิจสถานีการกลั่น และน้ำมันแบบบูรณาการเต็มรูปแบบ ด้าน บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ BCP มีธุรกิจที่ค่อนข้างกระจายความเสี่ยงที่มีทั้งธุรกิจสำรวจและผลิตในระดับต้นน้ำ โรงกลั่น เชื้อเพลิงชีวภาพ สถานีน้ำมัน และพลังงานไฟฟ้า
ดังนั้น FSSIA จึงเลือก ESSO และ BCP เป็นหุ้นท็อปพิกในกลุ่มหุ้นการกลั่นไทย จากการที่ไม่มีผลขาดทุนด้านการป้องกันความเสี่ยง และมีกำไรที่แข็งแกร่งจากธุรกิจสถานีน้ำมัน อีกทั้งยังมีช่องว่างอีกมากสำหรับอัตราการใช้กำลังผลิตที่เพิ่มขึ้น โดยค่าการกลั่นของ ESSO มีแนวโน้มแข็งแกร่ง และยังมีผลตอบแทนจากแก๊สโซลีนที่สูงประมาณ 28-30% และดีเซล รวมถึงน้ำมันอากาศยาน (มากกว่า 50%) นอกจากนั้นแล้วยังมีกำไรที่เพิ่มขึ้นจากสถานีน้ำมัน ค่าการตลาด ปริมาณการขายกว่า 80% ซึ่งปัจจัยบวกเหล่านี้ปรากฏให้เห็นใน BCP ด้วยเช่นกัน โดย FSSIA ให้ราคาเป้าหมาย ESSO ไว้ที่ 12.9 บาท และ BCP ไว้ที่ 40 บาท