“ดาวโจนส์ฟิวเจอร์” ดิ่ง 300 จุด กังวลงบค้าปลีกหด ฉุดศก.สหรัฐถดถอย
“ดาวโจนส์ฟิวเจอร์” ดิ่ง 300 จุด กังวลผลประกอบการในธุรกิจค้าปลีกต่ำคาด ซึ่งอาจส่งผลกระทบให้เศรษฐกิจสหรัฐเข้าสู่ภาวะถดถอย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ดัชนีดาวโจนส์ฟิวเจอร์ดิ่งลงอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดทรุดตัวลงกว่า 300 จุด บ่งชี้ว่าตลาดหุ้นวอลล์สตรีทจะปรับตัวลงในคืนนี้ ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับผลประกอบการในธุรกิจค้าปลีก ซึ่งอาจส่งผลกระทบให้เศรษฐกิจสหรัฐเข้าสู่ภาวะถดถอย
ณ เวลา 20.24 น.ตามเวลาไทย ดัชนีดาวโจนส์ฟิวเจอร์ลบ 304 จุด หรือ 0.92% สู่ระดับ 32,608 จุด
โดยราคาหุ้นของทาร์เก็ต ซึ่งเป็นบริษัทค้าปลีกรายใหญ่ของสหรัฐ ดิ่งลงกว่า 7% ในการซื้อขายก่อนเปิดตลาดหุ้นวอลล์สตรีทในวันนี้ หลังประกาศปรับลดคาดการณ์อัตรากำไรจากการดำเนินงานสู่ระดับ 2% ในไตรมาส 2 จากเดิมคาดการณ์ว่าจะใกล้เคียงไตรมาสแรกที่ระดับ 5.3%
นอกจากนี ทาร์เก็ตยังประกาศมาตรการในการลดสต็อกในคลังสินค้าที่ไม่จำเป็น โดยมีการยกเลิกคำสั่งซื้อสินค้า หลังมีการเปิดเผยมูลค่าสต็อกสินค้าสูงถึง 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนเม.ย. ซึ่งสูงกว่าช่วงเดียวกันของปีที่แล้วถึง 43%
สำหรับก่อนหน้านี้ ทาร์เก็ตสร้างความตื่นตระหนกต่อนักลงทุน หลังเปิดเผยกำไรต่ำกว่าคาดในไตรมาสแรก โดยระบุว่า บริษัทมีกำไรที่ระดับ 2.19 ดอลลาร์/หุ้น ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 3.07 ดอลลาร์/หุ้น ขณะที่ได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันและค่าขนส่งที่พุ่งขึ้น ส่งผลให้ราคาหุ้นทาร์เก็ตดิ่งลงเกือบ 25% ในการซื้อขายที่ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทเมื่อวันที่ 18 พ.ค. ซึ่งเป็นการทรุดตัวรุนแรงที่สุดในรอบ 35 ปี
โดยการปรับตัวลงของหุ้นทาร์เก็ตก่อนเปิดตลาด ได้ฉุดให้ราคาหุ้นอื่นๆในกลุ่มค้าปลีกร่วงลงเช่นเดียวกัน
นอกจากนี้คาดว่าตลาดหุ้นวอลล์สตรีทจะถูกกดดันจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปี ซึ่งแม้ว่าปรับตัวลงในวันนี้ แต่ก็ยังคงอยู่เหนือระดับ 3%
ทั้งนี้ พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีถือเป็นพันธบัตรที่ใช้อ้างอิงในการกำหนดราคาของตราสารหนี้ทั่วโลก ซึ่งรวมถึงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จำนอง หากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรปรับตัวขึ้น จะทำให้บริษัทต่าง ๆ เผชิญกับต้นทุนที่สูงขึ้นจากการชำระหนี้ ซึ่งจะส่งผลให้บริษัทเหล่านี้ลดการลงทุน และลดการจ่ายเงินปันผลแก่นักลงทุน
ส่วนนักลงทุนจับตาดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ในวันศุกร์นี้ หลังจากกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งบ่งชี้ว่าเงินเฟ้อของสหรัฐได้ผ่านจุดสูงสุดแล้ว
นอกจากนี้ ตลาดจับตาการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันที่ 14-15 มิ.ย. โดยคาดว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% ในการประชุมดังกล่าว รวมทั้งในการประชุมเดือนก.ค.เพื่อสกัดเงินเฟ้อ
ทั้งนี้ เฟดเริ่มใช้มาตรการปรับลดขนาดงบดุล (Quantitative Tightening : QT) ในเดือนมิ.ย. ตามมติในการประชุมนโยบายการเงินเมื่อวันที่ 4 พ.ค. โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มิ.ย. เฟดจะลดขนาดงบดุลในวงเงิน 4.75 หมื่นล้านดอลลาร์/เดือน และตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย. เฟดจะเพิ่มวงเงินในการลดขนาดงบดุลเป็น 2 เท่า สู่ระดับ 9.5 หมื่นล้านดอลลาร์/เดือน