ALT ส่งซิก Q2 โตต่อ ตุนแบ็คล็อกแน่น 3 พันลบ. – เดินหน้าขยายเคเบิ้ลใยแก้ว
ALT ส่งซิก Q2 โตต่อ ตุนแบ็คล็อกแน่น 3 พันลบ. รับทุกธุรกิจเริ่มฟื้นหลังโควิดคลี่คลาย ตั้งงบลงทุน 500-600 ลบ. เพื่อใช้ในโครงการโครงข่ายใยแก้วนำแสง
นางปรีญาภรณ์ ตั้งเผ่าศักดิ์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท เอแอลที เทเลคอม จำกัด (มหาชน) หรือ ALT เปิดเผยว่า บริษัทฯ คาดผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/2565 จะเติบโตดีกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการทยอยรับรู้งานในมือ (Backlog) ที่ปัจจุบันมีอยู่ราว 3,000 ล้านบาทอย่างต่อเนื่อง และทุกธุรกิจในเครือเริ่มฟื้นตัวดีขึ้นหลังสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลายลง ทำให้ภาพรวมกลับมาสดใสมากขึ้น
ทั้งนี้การให้บริการแบนด์วิดธ์ระหว่างประเทศในปีนี้เติบโตอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในประเทศกัมพูชา รวมถึงประเทศลาว ที่มีรถไฟความเร็วสูงที่เชื่อมจีนจากลาวมาไทย โครงการหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง (Belt and Road Initiative : BRI) ส่งผลให้ภาพรวมทั้งปีคาดมีรายได้เกือบ 400 ล้านบาท จากปีก่อนทำได้ราว 300 ล้านบาท
สำหรับการให้บริการสถานีชายฝั่งเพื่อเชื่อมต่อเคเบิ้ลใต้น้ำระหว่างประเทศ (CLS) ปัจจุบันบริษัทก่อสร้างสถานีฯ ที่จ.สตูล แล้ว และอยู่ในช่วงของการติดตั้งอุปกรณ์ คาดว่าจะเปิดให้บริการได้ในสิ้นไตรมาส 2/2565 ซึ่งจะเชื่อมต่อโครงข่ายสื่อสารระหว่างซีกโลกตะวันตกและตะวันออกเข้าด้วยกัน
อีกทั้งบริษัทฯ ยังอยู่ระหว่างการดำเนินงานในส่วนของโครงการ Hat Yai POP หรือจุดเชื่อมต่อสายเคเบิลใต้น้ำ และสายส่งสำหรับจุดเปลี่ยนการเชื่อมต่อ รวมไปถึงโครงการ Rayong CLS ในพื้นที่พัฒนาระเบียงเขตเศรษฐกิจตะวันออก (EEC) ที่อยู่ระหว่างการดำเนินงานเช่นกัน, การให้บริการโครงข่ายเพื่อเชื่อมต่อดาต้าเซ็นเตอร์ ในปีนี้จะมีการเชื่อมต่อฯ อีก 7 แห่ง จากที่ผ่านมามีการเชื่อมต่อฯ แล้วราว 10 แห่ง
ด้าน Smart Energy ช่วงปีที่ผ่านมามีการส่งมอบงานสมาร์ทกริด โดยปัจจุบันอยู่ในช่วงของการหารือในการขยายโครงการสมาร์ทกริดประเทศไทยต่อไป และบริษัทฯ ยังได้ซื้อกิจการผู้ผลิตสมาร์ทมิเตอร์ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการนำมาใช้ในโครงการนี้ ทำให้ปีนี้จะมีการคืบหน้าอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนั้นยังให้บริการบริหารจัดการเพื่อลดค่าไฟฟ้า โดย ALT จะเป็นผู้ลงทุนติดตั้งโซลาร์รูฟท็อป และขายไฟฟ้าในอัตราส่วนลดจากอัตราค่าไฟฟ้าปกติให้กับลูกค้าอุตสาหกรรม (Private PPA) สำหรับโครงการโซลาร์รูฟท็อป ปัจจุบันบริษัทฯ มีลูกค้าในมือแล้ว 11 เมกะวัตต์ อายุสัญญาระหว่าง 10-20 ปี คาดว่าจะสร้างรายได้รวมตลอดอายุสัญญาประมาณ 650 ล้านบาท หรือมีรายได้เฉลี่ยต่อปี 40 ล้านบาท ระยะเวลาคืนทุนเฉลี่ย 8 ปี และมี IRR 9%
ขณะที่ Smart city มีแผนขยายโครงสร้างพื้นฐานไปยังจังหวัดต่างๆ ที่เป็นจังหวัดสำคัญๆ เพื่อช่วยในการพัฒนาเมือง มีความเป็นอยู่ที่ดี และ Smart Platform จะนำเทคโนโลยีไปช่วยในแต่ละอุตสาหกรรม เช่น อุตสาหกรรมประกัน เพื่อลดต้นทุนลง คาดจะเห็นความชัดเจนได้ภายในปีนี้
สำหรับงบลงทุนในปี 2565 วางไว้ที่ 500-600 ล้านบาท เพื่อใช้ในโครงการโครงข่ายใยแก้วนำแสง ซึ่งมีลูกค้ารองรับแล้ว 100% คาดจะสามารถทยอยรับรู้รายได้ในไตรมาส 2/2566
ส่วนปัญหาการขาดแคลนเงินดอลลาร์ของลูกค้าในเมียนมา ซึ่งส่งผลกระทบทำให้บริษัทฯ มีหนี้คงค้าง และต้องตั้งสำรองลูกหนี้การค้าในช่วงที่ผ่านมานั้น ขณะนี้บริษัทฯ ได้ดำเนินการทำข้อตกลงกับทางลูกค้าให้นำเงินจ๊าดมาจ่ายและบวกค่าธรรมเนียมเพื่อแลกกลับมาเป็นเงินบาท ซึ่งจะช่วยให้บริษัทฯ มีรายได้กลับคืนเข้ามา