FSSIA คัด 11 หุ้นท็อปพิก อิงศก.ฟื้นตัว หนุนกำไรแกร่ง

FSSIA แนะ 11 หุ้นท็อปพิก ได้แก่ AOT-AWC-ADVANC-SINGER-BCH-BDMS-IVL-BANPU-ESSO-GUNKUL-CKP รับอานิสงส์เปิดประเทศกระตุ้นการท่องเที่ยวหลังโควิดคลี่คลาย และโมเมนตัมการเติบโตแข็งแกร่ง


นายทรงกลด วงศ์ไชย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ และ นายสุวัฒน์ สินสาฎก กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ ที่ปรึกษาการลงทุน เอฟเอสเอส อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด หรือ FSSIA ระบุในบทวิเคราะห์ว่า ตลาดหุ้นไทยโดยรวมโดนเทขายจากจุดพีคตั้งแต่วันที่ 18 ก.พ. 2565 เป็นต้นมา แสดงให้เห็นว่าตลาดได้ตอบรับความกังวลเรื่องเงินเฟ้อ การเติบโตทางเศรษฐกิจที่ช้าลง และอุปทานที่ขาดแคลนไปแล้ว

สำหรับในช่วงที่ตลาดเผชิญกับความกังวลเรื่องเงินเฟ้อ การเติบโตทางเศรษฐกิจที่ช้าลง และอุปทานที่ขาดแคลนทาง FSSIA ยังคงมุมมอง Overweight ต่อตลาดหุ้นไทยด้วยสองปัจจัยคือ 1) มองว่าตลาดรับรู้ความเสี่ยงดาวน์ไซด์ต่อการเติบโตไปค่อนข้างหมดแล้ว แต่มูลค่าตลาดหุ้นไทยยังน่าดึงดูดอยู่ และ 2) คาดว่าการขึ้นดอกเบี้ยของเฟดโดยรวมแล้วจะอยู่ในระดับที่ต่ำ โดยมองว่าเงินเฟ้อจะค่อยๆ ปรับลง ซึ่งจำกัดความจำเป็นในการเร่งขึ้นดอกเบี้ยของเฟด โดยในขณะนี้ ตลาดกำลังมอง และพิจารณาถึงความเป็นจริงของถ้อยคำแถลงของเฟดที่บอกว่าจะไม่ยอมถอยจดกว่าจะทำให้เงินเฟ้อลดลงได้

โดย SET Index ปรับลดลงเพียง 3.5% วัดจากจุดพีคเมื่อวันที่ 18 ก.พ. 2565 ดัชนีปิดที่ระดับ 1,713.20 จุด เทียบกับวันที่ 30 พ.ค. 2565 ดัชนีปิดที่ระดับ 1,653.61 จุด อย่างไรก็ดีน้อยกว่าเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นสหรัฐฯที่ทั้ง S&P 500 และ Nasdaq ต่างเข้าสู่ตลาดหมี

อีกทั้ง FSSIA มองว่าปัจจัยสำคัญที่สนับสนุน SET Index ในปีนี้ก็คือ 1) การฟื้นตัวการเติบโตทางเศรษฐกิจจากรายได้ที่เพิ่มขึ้น และเงินทุนไหลเข้าจากการท่องเที่ยว และการส่งออกที่กลับมา 2) กำไรที่ชัดเจน และแข็งแกร่งจากกลุ่มท่องเที่ยว สุขภาพ พาณิชย์ และสินค้าโภคภัณฑ์ที่ดึงดูดเงินทุนจากต่างชาติ 3) ดาวน์ไซด์จำกัดด้านเงินบาทอ่อนค่า และความเสี่ยงผิดนัดชำระหนี้ 4) ค่าสัมพันธ์เศรษฐกิจ และตลาดของไทยกับสหรัฐที่เริ่มปรับตัวไปในทิศทางที่ต่างกัน และ 5) แนวโน้มกำไรที่แข็งแกร่งของบริษัทจดทะเบียนในปี 2565

สำหรับ FSSIA มองว่าตลาดหุ้นไทยจะผันผวนน้อยลงในไตรมาส 3/2565 เมื่อเทียบกับไตรมาส 2/2565 โดยให้ช่วงดัชนีไว้ที่ 1,620-1,710 จุด ผลักดันโดยการฟื้นตัวของการท่องเที่ยว และเงินทุนต่างชาติที่ไหลเข้าอย่างต่อเนื่อง ส่วนในระยะยาวยังคงมุมมอง Overweight ต่อตลาดหุ้นไทย และให้เป้าหมาย SET Index ในปี 2565 มีโอกาสขึ้นไปที่ระดับ 1,854 จุด

นอกจากนี้ FSSIA ยังชี้ให้เห็นถึงลักษณะเฉพาะ ซึ่งเชื่อว่าบริษัทที่ดีส่วนใหญ่ที่ควรจะมีในการการฟื้นฟู เติบโต และค้ำจุน ของกำไรบริษัทเพื่อตามเทรนด์การฟื้นตัวเศรษฐกิจโลกในปี 2565-2566 ซึ่งก็คือ ความยืดหยุ่น ความชัดเจน และการเติบโต ของกำไรที่จะนำไปสู่การเติบโตของราคาหุ้นที่จะ Outperform ตลาด โดยให้ธีมการลงทุน และหุ้นท็อปพิกไว้คือ 1) หุ้นได้ประโยชน์หลังโควิด ได้แก่ AOT, AWC และ ADVANC  (2) การเติบโตชัดเจนมาก ได้แก่ SINGER, BCH และ BDMS และ 3) โมเมนตัมการเติบโตที่แข็งแกร่ง ได้แก่ IVL, BANPU, ESSO, GUNKUL และ CKP

บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน)หรือ AOT มองว่าแรงขับเคลื่อนหลักที่จะทำให้บริษัทกลับมามีกำไรได้นั้นจะมาจากรายได้สัมปทานใหม่จากคิงพาวเวอร์ ซึ่งทาง AOT ได้ยกเว้นค่าการันตีขั้นต่ำโดยสิ้นสุดลงเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ดังนั้นจึงมองว่า AOT จะมีรายได้ที่เพิ่มขึ้นจากค่าสัมปทานตั้งแต่เดือนเมษายนเป็นต้นไป นอกจากนั้นแล้วยังคาดว่าจำนวนผู้โดยสารในสนามบินจะฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องจนแตะช่วงก่อนโควิดในปี 2567 ส่วนรายได้จากสัมปทานนั้นจะสูงกว่าช่วงก่อนโควิดในปี 2566 รวมถึงกำไรที่จะสูงกว่าช่วงก่อนโควิดในปี 2566 ด้วยเช่นกัน โดยให้ราคาเป้าหมายที่ 79 บาท

ทั้งนี้ เมื่อเปรียบเทียบกับหุ้นท่องเที่ยวอื่นๆ FSSIA มองว่า AOT จะเป็นหุ้นตัวแรกที่กำไรสามารถกลับสู่ระดับที่สูงกว่าช่วงก่อนโควิดได้

บริษัท แอสเสท เวิรด์คอร์ป จำกัด (มหาชน)หรือ AWC มองว่ากำไรสุทธิในไตรมาสแรกของปี 2565 นั้นคิดเป็น 221%จากการคาดการณ์กำไรทั้งปีของ FSSIA โดย AWC ซื้อขายด้วยมูลค่าที่น่าดึงดูดที่ ในปี 2566 ค่า P/E ที่ 34 เท่า ซึ่งรวมถึงรายได้จากมูลค่ายุติธรรม ราว 2-3 พันล้านบาทต่อปี นอกจากนั้นแล้วบริษัทยังมีแนวโน้มการเติบโตของกำไรที่แข็งแกร่งอยู่ที่ 29% CAGR ในปี 2562-2568ด้านปัจจัยบวกระยะสั้นจะมาจากการฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยเฉพาะกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีการใช้จ่ายสูง ให้ราคาเป้าหมายที่ 6 บาท

บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน)หรือ ADVANC มีแนวโน้มที่จะได้ลูกค้ามือถือมากขึ้นระหว่างการควบรวมของ TRUE และ DTAC ซึ่งหากยังสามารถแย่งชิงลูกค้ามาได้อย่างต่อเนื่องในอีกหกเดือนข้างหน้านี้จะเป็นปัจจัยผลักดันหลักในอนาคตให้กับบริษัท ให้ราคาเป้าหมาย 260 บาท

บริษัท ซิงเกอร์ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SINGER จะมีการเติบโตของกำไรสูงที่สุดในกลุ่มหุ้นธุรกิจการเงินหลากหลายประเภท สนับสนุนโดยฐานเงินทุนที่แข็งแกร่ง และโมเดลธุรกิจที่มีรูปแบบเฉพาะในการเร่งพอร์ตสินเชื่อโดยมุ่งเน้นไปยังตลาดเฉพาะกลุ่ม (Niche Market) ที่มีการแข่งขันน้อยกว่า ให้ราคาเป้าหมาย 74 บาท

บริษัท บางกอก เชน ฮอสปิทอล จำกัด (มหาชน) หรือ BCH มองหุ้นซื้อขายอยู่ในมูลค่า P/E เพียง 10.9 เท่า ของปี 2565 ซึ่งต่ำกว่าคู่แข่งที่เฉลี่ยอยู่ที่ 29 เท่า และมูลค่าของ BCH เองที่เฉลี่ย 5 ปี อยู่ที่ 32 เท่า นอกจากนั้นแล้วราคาหุ้นตั้งแต่ช่วงเริ่มมีโควิดเป็นต้นมายังอ่อนแอกว่าในกลุ่มด้วยเช่นกัน (+10% สำหรับ BCH vs +52% คู่แข่ง) ทำให้ FSSIA มองว่าราคาหุ้น และมูลค่าของ BCH นั้นอยู่ในระดับที่ไม่เหมาะสม และควรที่จะซื้อขายที่มูลค่าสูงกว่าจากการดำเนินงานแบบออแกนิคที่แข็งแกร่ง และความสามารถในการปรับการดำเนินงานเพื่อสอดรับกับช่วงโควิด เชื่อว่าตลาดจะหันกลับมามองการดำเนินงานแบบออแกนิคของ BCH หลังโควิดคลายลงแล้ว ให้ราคาเป้าหมาย 28.50 บาท

บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด(มหาชน) หรือ BDMS มีการเติบโตรายได้ที่แข็งแกร่ง และคาดจะมีอัตราการผลิตที่สูงในระดับ 70% ในปี 2565 (เทียบ 67% ในปี 2562) ด้าน EBITDA margin คาดอยู่ที่ 24% ในปีนี้ เพิ่มขึ้นจาก 23% ในปี 2564 และ 22% ในปี 2562 โดยรวมแล้ว FSSIA คาดว่ากำไรหลักของ BDMS ในปีนี้จะกลับสู่ระดับช่วงก่อนโควิดที่ 1.01 หมื่นล้านบาท คิดเป็นการเติบโต 31% YoYโดยมีอัพไซด์จากสถานการณ์โควิดที่ยืดเยื้อ และ EBIDTA margin ที่สูงกว่าคาด ให้ราคาเป้าหมาย 31 บาท

บริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส จำกัด (มหาชน) หรือ IVL จะมีการเติบโตของกำไรสุทธิที่แข็งแกร่งตลอดปีนี้ สนับสนุนโดยปริมาณยอดขายที่สูงขึ้น และมาร์จิ้นของผลิตภัณฑ์ จากธุรกิจ Combined PET (PET และ PTA), IOD และไฟเบอร์ที่ยังอยู่ในระดับสูง จากความต้องการวัตถุดิบสำหรับบรรจุภัณฑ์ และเสื้อผ้า รวมถึงของใช้ส่วนตัว และผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในโรงงานอุตสาหกรรมด้วยเช่นกันโดยให้ราคาเป้าหมาย 70 บาท

บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) หรือ BANPU มองว่าราคาหุ้นมีความน่าดึงดูดมาก โดยซื้อขายอยู่ในระดับเพียงในปี 2565 ค่า P/E ที่ 3 เท่า และในปี 2566 ค่า P/E ที่ 4 เท่า ซึ่งมองว่าไม่เป็นธรรมอย่างมากจากการที่บริษัทมีการเติบโตของกำไรที่แข็งแกร่ง และชัดเจนในปี 2565-2566 หนุนโดยราคาถ่านหิน และก๊าซที่สูง

นอกจากนั้นยังมีการเติบโตของกำลังการผลิตจาก Shale Gas ที่ราคาก๊าซคาดว่าจะยังสูงอยู่อีกในระยะยาวกว่า 5 ดอลลาร์/mmbtu และยังมีผลขาดทุนจากการป้องกันความเสี่ยงที่ลดลงจากปีที่แล้ว ผนวกกับราคาขายเฉลี่ยที่สูงขึ้นจะช่วยให้กำไรสุทธิเติบโตทั้งจากไตรมาสก่อนหน้าและเมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน

พร้อมกับมองว่ากำไรสุทธิของ BANPU ที่ทางฝ่ายวิเคราะห์ในไตรมาส 2/2565 คาดไว้ที่ 1 หมื่นล้านบาท และในปี 2565 อยู่ที่ 2.87 หมื่นล้าน จะออกมาเหนือความคาดหมายของตลาด นอกจากนั้นแล้ว ราคาขายเฉลี่ยที่สูงขึ้น และการขาดทุนจากประกันความเสี่ยง (Hedging) ที่ลดลงจะช่วยผลักดันให้กำไรสุทธิเติบโตขึ้นอย่างมากตั้งแต่ไตรมาส 2/2565 เป็นต้นไป โดยให้ราคาเป้าหมาย 18.80 บาท

บริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ ESSO เป็นหนึ่งในหุ้นท็อปพิกด้วยการที่มีแนวโน้ม GRM แข็งแกร่งจาก 1) ผลตอบแทนก๊าซ (28-30%) ส่วนดีเซล และน้ำมันอากาศยาน (สูงกว่า 50%) 2) กำไรที่สูงขึ้นจากค่าการตลาดของสถานีน้ำมัน 3) ปริมาณการขายสูงขึ้น 4) อัตราการใช้งานโรงกลั่นกว่า 80% ให้ราคาเป้าหมาย 12.90 บาท

บริษัท กันกุลเอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน)หรือ GUNKULจะมีการเติบโตของกำไรใหม่ในปี 2565 เป็นต้นไป ผลักดันโดยห่วงโซ่มูลค่าธุรกิจกัญชา-กัญชง ซึ่งรวมถึงการปลูก สกัด การขาย และการตลาด ตั้งแต่ใบ ช่อดอก และน้ำมันเมล็ด รวมถึงมูลค่าเพิ่มจากการนำไปทำเป็นผลิตภัณฑ์เช่นอาหาร เครื่องดื่ม ยา อาหารสุขภาพ ขนม และลูกอม ให้ราคาเป้าหมาย 8.10 บาท

บริษัท ซีเคพาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ CKP คาดว่ากำไรสุทธิของ CKP ในไตรมาส 2/2565 และไตรมาส 3/2565 จะเติบโตจากการผลิตไฟฟ้าที่สูงขึ้นของ XPCL ในช่วงไฮซีซั่น และเชื่อว่าราคาจะปรับอีกครั้งก่อนตัวขับเคลื่อนหลักระยะสั้นซึ่งก็คือกำไรที่แข็งแกร่งในไตรมาส 1/2565 และตัวขับเคลื่อนหลักในระยะยาวจากโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำที่หลวงพระบาง โดยให้ราคาเป้าหมาย 6.60 บาท

Back to top button