โบรกชู PTTEP-TOP เด่นสุด “โรงกลั่น” กำไร Q2 โต อานิสงส์เปิดเมือง-ราคาน้ำมันพุ่ง

โบรกยก PTTEP-TOP เด่นสุดกลุ่มโรงกลั่น ประเมินกำไรไตรมาส 2/65 เติบโต รับอานิสงส์เปิดเมืองหนุนดีมานด์น้ำมัน รวมถึงราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นหนุนรายได้เพิ่ม


บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบีเอสที จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์ (15 มิ.ย.65) โดยยังคงน้ำหนักการลงทุน “เท่ากับตลาด” สำหรับกลุ่มพลังงาน ยังคงมุมมองเชิงบวกต่อภาพรวมธุรกิจโรงกลั่นจากแนวโน้มส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์น้ำมันและน้ำมันดิบ (crack spread) ที่แข็งแกร่ง หนุนด้วยภาวะอุปทานขาดแคลนและปริมาณสำรองที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาว

อย่างไรก็ดี เห็นความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นกดดันกำไรของโรงกลั่นของไทยจากความเป็นไปได้ในการควบคุมค่าการกลั่นเพื่อลดผลกระทบที่สูงขึ้นอย่างมากของราคาพลังงานต่อเศรษฐกิจไทยโดยภาพรวม

ขณะเดียวกันเชื่อว่าหุ้นกลุ่มพลังงานต้นน้ำจะยังคงได้ประโยชน์จากราคาพลังงานที่ทรงตัวสูงในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ ซึ่งเป็นผลกระทบจากการคว่ำบาตร (sanction) พลังงานของรัสเซียโดยสหภาพยุโรป (EU)

ทั้งนี้ คงมุมมองเชิงบวกต่อแนวโน้มกำไรปกติไตรมาส 2/65 ต่อกลุ่มพลังงาน โดยกลุ่มพลังงานต้นน้ำจะได้แรงหนุนจากราคาพลังงานที่สูงขึ้นจากภาวะอุปทานตึงตัว ซึ่งจะหนุนให้ราคาขายเฉลี่ย (ASP) ดีขึ้น

ขณะที่กลุ่มโรงกลั่นจะได้ประโยชน์จาก crack spread ที่สูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ ซึ่งจะผลักดันให้ค่าการกลั่นตลาด (market GRM) ปรับตัวดีขึ้น อีกทั้งอาจจะรับรู้กำไรจากสต๊อกน้ำมันตามแนวโน้มราคาน้ำมันดิบที่สูงขึ้น อย่างไรก็ดี คาดว่าบางบริษัทจะยังคงเห็นผลขาดทุนจากกิจกรรมป้องกันความเสี่ยง (hedging loss) ในระดับที่สูงในไตรมาส 2/65

โดยดัชนีกลุ่มพลังงาน outperform SET 6.7% ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา ตามแนวโน้มราคาพลังงานที่ปรับตัวสูงขึ้นจากผลกระทบของอุปทานพลังงานโลกที่ตึงตัว

ทั้งนี้ มองว่าหุ้นพลังงานต้นน้ำอย่าง PTTEP (ซื้อ/เป้า 190.00 บาท) และ BANPU (ซื้อ/เป้า 16.00 บาท) ยังคงน่าสนใจจากระดับราคาพลังงานที่ยืนสูงต่อเนื่องจากผลกระทบของสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน ขณะเดียวกันยังคงมุมมองเชิงบวกต่อแนวโน้ม crack spread ในช่วงครึ่งหลังของปี 65 แต่เชื่อว่าหุ้นโรงกลั่นมีความเสี่ยงที่สูงขึ้นจากความเป็นไปได้ในการเข้ามาแทรกแซงค่าการกลั่นของรัฐบาล จึงแนะนำให้นักลงทุนรอความชัดเจนก่อนจะตัดสินใจลงทุน

สำหรับ PTTEP : คงคำแนะนำ “ซื้อ” ที่ราคาเป้าหมายปี 65 ที่ 190.00 บาท อิงวิธี DCF (WACC 6.7%, TG 0%) บนสมมติฐานราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยระยะยาวที่ USD65.0/bbl ทั้งนี้เชื่อว่าบริษัทจะรายงานกำไรที่สูงขึ้นจากปีก่อนและไตรมาสก่อนในไตรมาส 2/65 จากปริมาณการขายและราคาขายเฉลี่ย (ASP) ที่ดีขึ้น และคาดว่าบริษัทจะได้ประโยชน์จากราคาน้ำมันดิบที่อยู่ระดับสูงต่อเนื่องไปในช่วงครึ่งหลังของปี 65 จากตลาดน้ำมันดิบโลกที่น่าจะตึงตัวต่อไปจากผลกระทบจากการคว่ำบาตรรัสเซีย

ส่วน BANPU : คงคำแนะนำ “ซื้อ” ที่ราคาเป้าหมายปี 65 ที่ 16 บาท อิงวิธี SOTP ทั้งนี้เชื่อว่ากำไรปกติของบริษัท (ไม่รวมผลกระทบจาก hedging loss และกำไรพิเศษจากการขายบริษัท Sunseap Group Pte,Ltd.) จะทำสถิติรายไตรมาสใหม่ในไตรมาส 2/65 หนุนด้วย ASP ของทั้งถ่านหินและก๊าซฯที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างมากจากความตึงเครียดระหว่างประเทศ

ด้าน SPRC : คงคำแนะนำ “ซื้อ” ที่ราคาเป้าหมาย 15.50 บาท อิง PBV ปี 65 ที่ 1.51 เท่า (เท่ากับ +0.5SD สูงกว่าค่าเฉลี่ย PBV ย้อนหลัง 5 ปี) เชื่อว่าบริษัทจะได้ประโยชน์จาก crack spread ที่ยืนสูงได้ต่อเนื่องจากผลพวงของสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน ซึ่งส่งผลให้อุปทานน้ำมันโลกตึงตัว นอกจากนี้ฤดูกาลขับรถของ US ที่กำลังจะมาถึงจะเป็นอีกปัจจัยที่ช่วยผลักดัน gasoline crack ให้สูงขึ้นในครึ่งปีหลัง เมื่อเทียบกับครึ่งปีแรกของปีนี้

ส่วน TOP : คงคำแนะนำ “ซื้อ” ที่ราคาเป้าหมาย 76.00 บาท อิง PBV ปี 65 ที่ 1.11 เท่า (เทียบเท่า -0.25SD ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย PBV 5 ปี ย้อนหลัง) ทั้งนี้เชื่อว่า TOP จะเห็นการเติบโตของกำไรอย่างต่อเนื่องในปี 65 ซึ่งมีปัจจัยหนุนจากการฟื้นตัวของอุปสงค์การใช้ผลิตภัณฑ์น้ำมันสอดคล้องกับกิจกรรมทางเศรษฐกิจและการเดินทางทั่วโลก นอกจากนี้ มองว่าผลกระทบจากการ sanction รัสเซียที่ทำให้ตลาดผลิตภัณฑ์น้ำมันทั่วโลกตึงตัวจะทำให้ crack spread สูงต่อเนื่องได้ อีกทั้งกำไรไตรมาส 2/65 จะถูกหนุนด้วยกำไรพิเศษจากการขายหุ้น GPSC อีกด้วย

Back to top button