PTTGC ยัน! รัฐขอลด “ค่าการกลั่น” กระทบน้อย มั่นใจยอดขายครึ่งปีหลังโต
PTTGC คาดยอดขายในช่วงครึ่งปีหลังโต หลังไม่มีการปิดซ่อมบำรุงครั้งใหญ่ ส่วนกรณีรัฐขอความร่วมมือลดค่าการกลั่นกระทบน้อย มีสัดส่วนรายได้เพียง 10%
นายคงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ (CEO) บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC เปิดเผยว่า บริษัทฯ คาดปริมาณการขายครึ่งปีหลังนี้จะดีกว่าครึ่งปีแรก เนื่องจากไม่มีการปิดซ่อมบำรุงครั้งใหญ่แล้ว จะมีเพียงการปิดซ่อมบำรุงโรงโอเลฟินส์หน่วยที่ 2/1, 2/2, 2/3 รวมถึงการปิดซ่อมบำรุงโรง HDPE และโรงกลั่น ขณะที่แนวโน้มของอัตรากำไร (มาร์จิ้น) ยังทรงตัวในระดับสูง
อย่างไรก็ตาม PTTGC คาดว่าปริมาณการขายปีนี้จะใกล้เคียงกับปีก่อน และกำไรจากการดำเนินงานของบริษัทก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) จะเติบโตได้ตามเป้าหมาย หรือเติบโตเฉลี่ย 4% ต่อปี
สำหรับความคืบหน้าโครงการผลิตพลาสติกวิศวกรรมชั้นสูง ของบริษัท Kuraray GC Advanced Material (KGC) ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่าง Kuraray, Sumitomo ของญี่ปุ่น กับ PTTGC อยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้าง คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปีนี้ ผลิต High Heat Resistant Polyamide-9T (PA-9T) จำนวน 13,000 ตันต่อปี และ Hydrogenated Styrenic Block Copolymer (HSBC) จำนวน 16,000 ตันต่อปี เพื่อใช้ในอุตสาหกรรมรถยนต์ อุตสาหกรรมไฟฟ้าและอีเล็กทรอนิกส์ อุตสาหกรรมก่อสร้าง ถือเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมแห่งอนาคต สายธุรกิจ High Value Business : HVB ซึ่งเป็นโครงการลงทุนในพื้นที่ EEC
โดยโครงการ Olefins 2 Modification (OMP) เพิ่มความยืดหยุ่นของวัตถุดิบ (Feedstock) โดยจะได้โพรพิลีนเพิ่มจำนวน 63,000 ตันต่อปี คาดว่าเริ่มเดินเครื่องได้ในไตรมาส 1/66
ส่วนการปรับโครงสร้างธุรกิจ PVC ของ บริษัท วีนิไทย จำกัด (มหาชน) หรือ VNT และ AGC Thailand บริษัทฯ ได้เสร็จสิ้นการทำคำเสนอซื้อหุ้น VNT (จำนวน 151,149,415 หุ้น ที่ราคา 39 บาทต่อหุ้น) และตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้มีคำสั่งเพิกถอนหุ้นสามัญของ VNT จากการเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ตั้งแต่วันที่ 12 มี.ค.65 เป็นต้นไป จากสัดส่วนการถือหุ้นเดิม 24.98% และปัจจุบันจะมีสัดส่วนในการถือหุ้น VNT 37.82% ขณะนี้อยู่ระหว่างเตรียมการปรับโครงสร้างและจัดตั้งบริษัทใหม่ จุดประสงค์เพื่อขยายตลาด PVC ไปสู่ภูมิภาค CLMVT (กัมพูชา ลาว เมียนมาร์ เวียดนามและไทย) คาดว่าจะแล้วเสร็จในไตรมาส 3/65
โดยโครงการพลาสติกรีไซเคิลคุณภาพสูง (Recycle Plant) ของบริษัท เอ็นวิคโค จำกัด (ENVICCO) ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์พลาสติกรีไซเคิลประเภท rPET และ rHDPE กำลังการผลิต 45,000 ตันต่อปี แบ่งเป็นกำลังการผลิต rPET 30,000 ตันต่อปี และ rHPDE 15,000 ตันต่อปี คาดว่าผลิตเชิงพาณิชย์ได้ในไตรมาส 3/65
ส่วนการลงทุนใน allnex บริษัทฯ ตั้งเป้าการเติบโตของ EBITDA ของ allnex ที่ 1.5 เท่า ภายใน 5 ปี หรือราว 600 ล้านยูโร จากปัจจุบันอยู่ที่ 400 ล้านยูโร โดยคาด EBITDA ของธุรกิจเคมีภัณฑ์คุณภาพสูงจะเติบโตมาที่ระดับ 50% ในปี 73 จากปัจจุบันอยู่ที่ 30% เนื่องจากบริษัทจะขยายฐานธุรกิจเคมีภัณฑ์คุณภาพสูงที่มีความหลากหลายอย่างต่อเนื่องที่สอดคล้องกับเมกะเทรนด์
นายคงกระพัน กล่าวอีกว่า ประเด็นที่นักลงทุนมีความกังวลต่อสถานการณ์ของหุ้นในกลุ่มโรงกลั่นที่ทางภาครัฐจะขอความร่วมมือในการปรับลดค่าการกลั่นและจะกระทบต่อกำไรของกลุ่มธุรกิจโรงกลั่นนั้น บริษัทฯ ยืนยันว่า PTTGC เป็นผู้ประกอบการในธุรกิจปิโตรเคมี ซึ่งมีสัดส่วนรายได้จากโรงกลั่นต่ำกว่า 10% และธุรกิจโรงกลั่นเป็นการกลั่นเพื่อนำมาเป็นวัตถุดิบใช้ในการผลิตในธุรกิจปิโตรเคมี และการขายน้ำมันที่ได้จากการกลั่นนั้นเพื่อเป็นการจำหน่ายเพียงส่วนน้อย
ด้านความคืบหน้าในการดำเนินการก่อสร้างโรงงานปิโตรเคมีคอมเพล็กที่สหรัฐ (US Petrochemical Complex) บริษัทฯ ยังอยู่ระหว่างการศึกษาและการหาพันธมิตรเพื่อเข้ามาร่วมลงทุน ซึ่งเนื่องด้วยบรรยากาศปัจจุบัน ทั้งสงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครน, เงินเฟ้อ และเศรษฐกิจชะลอตัว ทำให้บริษัทฯ ยังไม่ได้ตัดสินใจเร็วๆ นี้