โบรกแนะ “ซื้อ” MEGA เป้า 67 บาท กำไรปี 65-68 โตต่อเนื่อง

“บล.ฟินันเซีย ไซรัส” ประเมินผลงาน MEGA กำไรปกติปี 65-68 โตต่อเนื่อง รับแผนออกผลิตภัณฑ์ใหม่ 23 รายการ พร้อมแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 67 บาท


บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด ระบุในบทวิเคราะห์ (17 มิ.ย.65) ประเมินเกี่ยวกับ บริษัท เมก้า ไลฟ์ไซแอ็นซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ MEGA มองว่า ธุรกิจ Brand Mega We Care ซึ่งมีสัดส่วน 51.1% ของรายได้รวม ใช้วัตถุดิบหลักได้แก่ตัวยาสำคัญ (Active ingredients) สารปรุงแต่งยา (Excipient) บรรจุภัณฑ์ และเจลาติน ธุรกิจนี้มีอัตรากาไรขั้นต้น 65-69% เป็นต้นทุนวัตถุดิบประมาณ 27% เนื่องจากธุรกิจ Brand Mega We Care มีสัดส่วน 51.1% ของรายได้รวม ต้นทุนวัตถุดิบของธุรกิจแบรนด์จึงคิดเป็นเพียง 8% ของต้นทุนรวมทั้งหมด และมีค่าขนส่งอีกประมาณ 2-3% ของต้นทุนรวม ผลกระทบต่อเงินเฟ้อที่ปรับตัวสูงขึ้นจึงจากัดมากต่อธุรกิจบริษัท

โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริษัทมีการบริหารจัดการวัตถุดิบที่ดี จัดซื้อจากผู้ขายหลายราย ไม่พึ่งพารายใดรายหนึ่งมากเกินไป ไม่ทาสัญญาจัดซื้อวัตถุดิบเกิน 1 ปีทำให้สามารถเปลี่ยนผู้ขายวัตถุดิบรายใหม่ได้เร็ว มีการพัฒนาบรรจุภัณฑ์ที่ลดการใช้วัตถุดิบลง ที่สำคัญยาและวิตามินเป็นสินค้าจำเป็น ในทางปฏิบัติโดยทั่วไปของตลาด ต้นทุนที่ปรับสูงขึ้นส่วนใหญ่สามารถส่งผ่านไปที่ราคาสินค้าได้

ทั้งนี้ ณ สิ้นไตรมาส 1/65 MEGA มีหนี้ที่ต้องจ่ายดอกเบี้ย 113.6 ล้านบาท ซึ่งเป็นเงินกู้ระยะสั้น บริษัทไม่มีเงินกู้ระยะยาว คิดเป็น IBD/E เพียง 0.01 เท่า และมีเงินสดในมือกว่า 2.2 พันล้านบาท ถือว่าอยู่ในสถานะ Net cash ภาระดอกเบี้ยจ่ายมีจานวนราวไตรมาสละ 6 ล้านบาท คิดเป็นเพียง 0.2% ของต้นทุนและค่าใช้จ่ายทั้งหมด บริษัทวางแผนลงทุน 537 ล้านบาท ในช่วงปี 65-66 ในการขยายโรงงานในไทย 326 ล้านบาท ในอินโดนีเซีย 165 ล้านบาท เนื่องจากสามารถขึ้นทะเบียนยาได้หลายชนิดแล้ว และพัฒนาตามแนวทาง ESG อีก 46 ล้านบาท ทั้งหมดนี้ใช้กระแสเงินสดที่ได้จากการดาเนินงานซึ่งคาดว่าจะทาได้ราวปีละ 1.5-2.0 พันล้านบาท ดังนั้น ในภาวะอัตราดอกเบี้ยที่เป็นขาขึ้นจึงไม่กระทบผลการดาเนินงานของบริษัท

โดยในปี 65 บริษัทมีแผนออกผลิตภัณฑ์ใหม่ 23 ผลิตภัณฑ์ โดย 12 ผลิตภัณฑ์เป็นวิตามินและอาหารเสริม อีก 11 ผลิตภัณฑ์เป็นยาตามใบสั่งแพทย์ คาดกำไรปกติปี 65-67 โต 21.4%, +8.6%, +7.5% เทียบกับปีก่อน ตามลำดับ บริษัทตั้งเป้ารายได้และกำไรโตเป็น 2 เท่าของปี 62 ภายในปี 68 ซึ่งคาดว่าบริษัทจะทำได้ภายในปี 67 คือมีกำไร 2.5 พันล้านบาท คงราคาเป้าหมาย 67 บาท (DCF, WACC 8.6%, TG 3.0%) คิดเป็น Implied PE 26.3 เท่า ต่ำกว่า PE เฉลี่ยของกลุ่มค้าปลีกที่ 28 33 เท่า ราคาหุ้นปัจจุบันมี PE 20.3 เท่าและ EV/EBITDA 14.8 เท่า ต่ำกว่ากลุ่มค้าปลีกราว 25% และต่ำกว่า Blackmores (BKL AU) ที่มี PE และ EV/EBITDA ที่ 44.1 และ 15.5 เท่า จึงยังคงแนะนำ “ซื้อ”

Back to top button