“วิจัยกรุงศรี” ชี้ยกเลิก Thailand Pass หนุนท่องเที่ยว-กระตุ้นเศรษฐกิจ

“วิจัยกรุงศรี” ชี้ศบค. เห็นชอบคลายมาตรการเดินทางเข้าประเทศ สนับสนุนการท่องเที่ยว-กระตุ้นเศรษฐกิจ พร้อมรับต่างชาติเข้าลงทุนอุตสาหกรรมหลังเปิดเมือง


วิจัยกรุงศรี ระบุว่า การประชุมของศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) เห็นชอบให้ปรับระดับพื้นที่ทั่วทั้งประเทศเป็นพื้นที่เฝ้าระวัง (สีเขียว) โดยให้มีผลหลังจากประกาศลงราชกิจจานุเบกษา ขณะเดียวกันยังเห็นชอบให้ยกเลิกการลงทะเบียน หรือหนังสือรับรองการเดินทางเข้าประเทศ (Certificate of Entry: COE) ของคนต่างชาติ และยกเลิกการกำหนดเงินประกันการเดินทางสำหรับต่างชาติ เริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค. 65 เป็นต้นไป

สำหรับมาตรการบรรเทาภาระค่าครองชีพจากวิกฤตราคาพลังงาน ล่าสุดรัฐบาลเตรียมขยายเวลาในบางมาตรการที่จะสิ้นสุดในเดือนมิถุนายนออกไปอีก 3 เดือน อาทิ การช่วยเหลือค่าก๊าซหุงต้มแก่ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และการตรึงราคาขายปลีก NGV รวมทั้งอาจมีมาตรการใหม่เพิ่ม โดยจะขอความร่วมมือไปยังกลุ่มโรงกลั่นน้ำมันนำส่งกำไรค่าการกลั่น เพื่อนำมาช่วยพยุงราคาน้ำมันนั้น

ส่วนปัจจัยบวกจากการผ่อนคลายเพิ่มเติมของ ศบค. ที่เห็นชอบให้ปรับระดับพื้นที่ทั่วทั้งประเทศเป็นพื้นที่เฝ้าระวัง (สีเขียว) และปรับลดระดับการเตือนภัยโควิดจากระดับ 3 เป็น 2 คาดว่าจะช่วยหนุนให้กิจการและกิจกรรมทางเศรษฐกิจทยอยกลับเข้าใกล้เคียงสู่ภาวะปกติมากขึ้น ประกอบกับกระทรวงการคลังระบุว่า เตรียมเสนอมาตรการลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคล เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศในช่วงครึ่งปีหลังเพิ่มเติม โดยกำหนดให้บริษัทเอกชนที่นำพนักงานไปท่องเที่ยวในเมืองรอง สามารถหักลดหย่อนภาษีได้ 2 เท่า และเมืองหลักลดหย่อนภาษีได้ 1.5 เท่า การท่องเที่ยวในประเทศจึงมีแนวโน้มที่จะฟื้นตัวได้ดีกว่าที่คาด

อีกทั้งการยกเลิกการลงทะเบียน Thailand Pass หรือหนังสือรับรองการเดินทางเข้าประเทศ (Certificate of Entry: COE) ของคนต่างชาติ และยกเลิกการกำหนดเงินประกันการเดินทางสำหรับต่างชาติ ที่เริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค. เป็นต้นไป จะช่วยเพิ่มความสะดวกและหนุนให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศมากขึ้น จากค่าเฉลี่ยในปัจจุบันประมาณวันละ 2-2.5 หมื่นคน จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในปีนี้จึงมีโอกาสที่จะสูงกว่าที่เคยคาดไว้ที่ 5.5 ล้านคน

ขณะที่มาตรการบรรเทาภาระค่าครองชีพจากวิกฤตราคาพลังงาน ที่ล่าสุด รัฐบาลเตรียมขยายเวลาในบางมาตรการที่จะสิ้นสุดในเดือนมิ.ย. ออกไปอีก 3 เดือน อาทิ การช่วยเหลือค่าก๊าซหุงต้มแก่ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และการตรึงราคาขายปลีก NGV รวมทั้งอาจมีมาตรการใหม่เพิ่ม โดยจะขอความร่วมมือไปยังกลุ่มโรงกลั่นน้ำมันนำส่งกำไรค่าการกลั่น เพื่อนำมาช่วยพยุงราคาน้ำมัน

วิจัยกรุงศรี ยังระบุอีกว่าแม้มีสัญญาณเชิงบวกจากยอดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ที่เข้ามาในบางกลุ่มอุตสาหกรรม แต่ยังมีหลายปัจจัยที่อาจจำกัดการเติบโตของการลงทุนภาคเอกชน ข้อมูลจาก BOI รายงาน FDI ในช่วงไตรมาส 1/65 มีโครงการยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุนมูลค่ารวม 77.3 พันล้านบาท ขยายตัว 29.1%YoY (ต่อเนื่องจากปี 64 ที่เติบโตเกือบ 169%) โดยมูลค่าเงินลงทุนส่วนใหญ่อยู่ในหมวดผลิตภัณฑ์โลหะ เครื่องจักรและอุปกรณ์ขนส่ง (สัดส่วน 61% ของ FDI ทั้งหมด) หมวดเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (13%) และหมวดอุตสาหกรรมเบา (11%)

นอกจากนี้ รายได้จากการขายและค่าเช่าในนิคมอุตสาหกรรม ในช่วงครึ่งแรกของปีงบประมาณ 65 (ต.ค. 64-มี.ค. 65) ขยายตัว 31.7%YoY โดยเฉพาะในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ยังคงเป็นทำเลทองที่ได้รับความสนใจ  ซึ่งในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้มีมูลค่า FDI ที่ยื่นขอรับการลงทุนในพื้นที่ EEC เพิ่มขึ้น 11.7%YoY ส่วนใหญ่เป็นการลงทุนในโครงการยานยนต์สมัยใหม่ (รถยนต์ไฟฟ้า) และอุตสาหกรรมเทคโนโลยีชีวภาพ

“แม้การลงทุนจะมีสัญญาณเชิงบวก จากการขยายตัวอย่างต่อเนื่องของ FDI แต่ยังมีการกระจุกตัวอยู่ในบางหมวดอุตสาหกรรมที่อาจได้ประโยชน์จากการกลับมาเปิดประเทศ และการปฏิรูปอุตสาหกรรม สอดคล้องกับอัตราการใช้กำลังการผลิตของหลายอุตสาหกรรม ที่ยังคงอยู่ในระดับต่ำกว่าช่วงก่อนเกิดการระบาดโควิด-19″ บทวิเคราะห์ ระบุ

วิจัยกรุงศรี ประเมินการเติบโตของการลงทุนภาคเอกชนในปีนี้ว่า ยังอาจถูกจำกัดจากหลายปัจจัย อาทิ ความกังวลภาวะเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มชะลอตัวมากขึ้น ต้นทุนการผลิตที่ปรับสูงขึ้น ค่าเงินบาทที่ผันผวน รวมถึงความเชื่อมั่นที่ยังอยู่ในระดับต่ำ และล่าสุดยังถูกบั่นทอนจากอันดับขีดความสามารถในการแข่งขันของไทยปี 65 ที่ร่วงลงมากสู่อันดับ 33 จาก 28 ในปีก่อน

Back to top button