จังหวะสอย 13 หุ้น “อัพไซด์” กว้าง! ชู MEGA สูงสุด 35%
คัด 13 หุ้นโบรกฯแนะ "ซื้อ" พ่วง "อัพไซด์" สูงลิ่วเกิน 10% ฟาก MEGA ราคาเป้า 67 บาท ดันอัพไซด์สูง 35% ส่วน SNNP ราคาเป้า 20 บาท ดันอัพไซด์สูง 33%
“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ได้ทำการสำรวจและรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ที่มีนักวิเคราะห์กำหนดคำแนะนำ “ซื้อ” ในช่วงรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา รวมถึงเป็นหุ้นที่มีอัพไซด์ราคา จากราคาปัจจุบันเทียบกับราคาเป้าหมายสูงเกิน 20% มานำเสนอนักลงทุน
โดยหุ้นที่มีอัพไซด์สูงสุดได้แก่ บริษัท เมก้า ไลฟ์ไซแอ็นซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ MEGA มีอัพไซด์สูงสุด 35%, บริษัทศรีนานาพรมาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SNNP มีอัพไซด์ 33% รายละเอียดตามตารางด้านล่าง
ด้าน บล.เคทีบีเอสที จำกัด คงประมาณการกำไรสุทธิปี 65 ของ บริษัท เมก้า ไลฟ์ไซแอ็นซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ MEGA ที่ 2,256 ล้านบาท (+16% จากปีก่อน จาก 1) รายได้รวมที่เติบโต 11% จากปีก่อน จากรายได้ MWC ขยายตัว 9% จากปีก่อน โดย MEGA มีแผนออกผลิตภัณฑ์ใหม่จำนวน 23 SKUs, รายได้ MC เติบโตต่อเนื่อง 14% จากปีก่อน และ 2) GPM ขยายตัว จาก GPM ของ Mega We Care ที่ขยายตัว สำหรับปี 66 พร้อมประเมินกำไรสุทธิที่ 2,459 ล้านบาท โต 9% จากปีก่อน จากรายได้เติบโตในทุกธุรกิจ
ขณะที่ บล.ทรีนีตี้ จำกัด ระบุในบทวิเคราะห์ มองกำไร บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ HMPRO งวดไตรมาส 2/65 ไม่โดดเด่นเท่าช่วงครึ่งปีหลังปี 65 เนื่องจากเป็นช่วงที่มีวันหยุดเยอะ รวมถึงมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากค่าเงินเฟ้อ พร้อมประมาณการกำไรปี 65 ราว 5,586 ล้านบาท เติบโต 4% จากการขยายสาขาเพิ่ม 7 สาขาในครึ่งปีหลัง รวมถึงยอดขายที่เพิ่มขึ้นในจังหวัดที่การท่องเที่ยวฟื้นตัวจากการเปิดประเทศ โดยคงแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมายปี 65 ที่ 16.29 บาท
ส่วน บล.เมย์แบงก์ จำกัด ระบุในบทวิเคราะห์ ปรับเพิ่มประมาณการกำไรของ บริษัท จีเอฟพีที จำกัด (มหาชน) หรือ GFPT สะท้อนถึงผลประกอบการที่แข็งแกร่งในช่วงไตรมาส 1/65 อีกทั้งยังมีแนวโน้มเชิงบวกจากราคาไก่และปริมาณส่งออกที่เพิ่มขึ้น ขณะที่ผลกระทบจากต้นทุนวัตถุดิบสูงจะถูกชดเชยด้วยการเติบโตของการส่งออกและราคาขายที่เพิ่มสูงขึ้น คาดกำไรของ GFPT จะเติบโตอย่างมีนัยสำคัญเทียบกับปีก่อนในทุกไตรมาสของปีนี้ เชื่อว่าการฟื้นตัวที่แข็งแกร่งทำให้ GFPT สมควรซื้อขายที่มีพรีเมียมบน PE ปี 65 ที่ 17 เท่า (+1.5 SD) ราคาเป้าหมายปรับเพิ่มขึ้นเป็น 20.90 บาท จากเดิมที่ 16.30 บาท คงแนะนำ “ซื้อ”
บล.กรุงศรี จำกัด ระบุในบทวิเคราะห์ แนะนำ “ซื้อ” หุ้น บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP ราคาเป้าหมาย 185 บาท จากกรณีแหล่งเอราวัณมีความคืบหน้าตามแผน การดำเนินงานในไตรมาส 2/65 แข็งแกร่งทั้งปริมาณขายและ ASP และขาดทุนเฮดจิ้งลดลง ปริมาณขายจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในไตรมาส 3 และไตรมาส 4/65 ราคาก๊าซจะเพิ่มขึ้นเป็น US$6.6/mmscfd ในช่วงครึ่งปีหลัง เทียบกับครึ่งหลังของปีนี้
บล. เคทีบีเอสที จำกัด ระบุในบทวิเคราะห์ คงประมาณกำไรปกติปี 65 ของ บริษัท ศรีนานาพร มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SNNP ที่ 501 ล้านบาท โต 63% จากปีก่อน คาดกำไรจะขยายตัวดีตั้งแต่ไตรมาส 2/65 เป็นต้นไป จากรายได้ในประเทศที่เติบโตต่อเนื่อง และรายได้ต่างประเทศที่ฟื้นตัว ราคาหุ้น underperform SET 5% ใน 1 เดือนที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามยังคงแนะนำ “ซื้อ” โดย valuation ไม่แพง ปัจจุบันเทรดอยู่ที่ PER ปี 65 ที่ 29.1 เท่า เทียบกับการเติบโตของกำไรปกติปี 65 โต 63% จากปีก่อน และปี 66 โตต่อเนื่อง 30% จากปีก่อน อีกทั้งยังมี Upside จากผลิตภัณฑ์ผสมกัญชง กัญชา และสินค้านวัตกรรม
ด้าน บล.กรุงศรี จำกัด ระบุในบทวิเคราะห์ (21 มิ.ย.65) คงคำแนะนำ “ซื้อ” บริษัท แพลน บี มีเดีย จำกัด (มหาชน) หรือ PLANB แต่ปรับราคาเป้าหมายลงเป็น 8.5 บาท จาก 10.6 บาท เพื่อสะท้อนการปรับคาดการณ์กำไรลง แม้จะปรับราคาเป้าหมายลงแต่เชื่อว่าแนวโน้มกำไรของ PLANB ในปี 65 จะสดใสกว่าใน 2 ปีที่ผ่านมามาก (63-64) เชื่อว่าดีมานด์สื่อ OOH อาจอ่อนแอกว่าที่คาดไว้ในตอนแรก แต่ยังมองว่าดีมานด์ยังสูงกว่าในปีที่ผ่านมา
โดยบริษัทมีอำนาจการต่อรองกับลูกค้าและซัพพลายเออร์สูงขึ้นหลังบริษัทเข้าซื้อ AQUA ซึ่งเป็นคู่แข่งหลัก มองราคาหุ้นปรับตัวลงในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา ได้สะท้อนแนวโน้มกำไรอ่อนแอลงในไตรมาส 2/65 และช่วงข้างหน้า
ด้าน บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ ประเมินกำไร ธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) หรือ KKP ช่วงครึ่งแรกของปี 65 ว่าจะอยู่ที่ 4.1 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 25.9% จากปีก่อน จากรายได้ดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นตามการเพิ่มขึ้นของสินเชื่อ นอกจากนี้สัดส่วนสำรองต่อ NPL อยู่ที่ประมาณ 140% ทำให้ KKP มีการลดระดับการตั้งสำรองลงมาตั้งแต่ไตรมาส 1/65 และเป็นอีกเหตุผลสำคัญที่ทำให้กำไรครึ่งปีแรกเพิ่มขึ้น และคาดว่า KKP จะมีการจ่ายปันผลครึ่งปีแรกได้ 1 บาท/หุ้น ซึ่งคิดเป็นผลตอบแทนเงินปันผล 1.6% และคาดทั้งปีจะจ่าย 3.65 บาท/หุ้น คิดเป็นผลตอบแทนเงินปันผล 5.8