ตั้งหลัก! 3 บริษัท ปรับตัวฝ่าวิกฤตโลก มุ่งเทิร์นอะราวด์
ตั้งหลัก! 3 บริษัท ปรับตัวฝ่าวิกฤตโลก มุ่งเทิร์นอะราวด์ BEAUTY-TGPRO-PPS นำทีม
“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” รวบรวมบริษัทจดทะเบียน(บจ.)ที่น่าสนใจและฝ่าวิกฤติเศรษฐกิจโลกมานำเสนอ เนื่องจากในระยะ 3 ปีหลังนี้ (2563-2565) ระบบเศรษฐกิจโลกกำลังถูกทดสอบความทนทานอย่างหนักหน่วง ชุดแรกโดนถล่มจากโรคระบาดโควิด-19 ซึ่งทุกวันนี้แม้จะลดความรุนแรงลงแต่ก็ยังมีอยู่ จนมาถึงต้นปีนี้ก็เกิดปัญหาสงครามรัสเซีย-ยูเครน เข้ามาซ้ำเติมอีก
ส่งผลกระทบต่อราคาสินค้าจำเป็น เช่น พลังงาน-เหล็ก พุ่งสูงขึ้นอย่างก้าวกระโดด เกิดปรากฏการณ์เงินเฟ้อสูงระดับทุบสถิติรอบกว่าสิบปี หรือหลายสิบปีทั่วโลก ส่งผลให้หลายประเทศต้องเร่งปรับขึ้นดอกเบี้ยเพื่อสกัด ทั้ง ๆ ที่สภาพเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัว
อีกทั้งประเทศไทยเองภาคธุรกิจทั้งเล็ก-ใหญ่ ก็ได้รับผลกระทบทั่วหน้าเกือบทุกอุตสาหกรรม หลายบริษัทยังไม่ฟื้นตัวจากสารพัดวิกฤติที่ถาโถมเข้ามา
แต่ก็มีอีกไม่น้อยที่สามารถปรับตัวจนกลับมายืนเหนือปัจจัยลบได้ พร้อมมองหาโอกาสเทิร์นอะราวด์ได้ในระยะถัดไป ตัวอย่างเช่น 3 บริษัทจาก 3 ธุรกิจ ประกอบด้วย BEAUTY-TGPRO-PPS ที่ผู้บริหารยืนยันหนักแน่นว่าวันนี้พร้อมสู้กับ “วิกฤติซ้อนวิกฤติ” ที่กำลังเกิดขึ้นดังนี้
BEAUTY เดินหน้าตามแผน ลุ้นพลิกทำกำไร
ดร.พีระพงษ์ กิติเวชโภคาวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิวตี้ คอมมูนิตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ BEAUTY ผู้ดำเนินธุรกิจจำหน่ายปลีก ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางและบำรุงผิวภายใต้แบรนด์ BEAUTY BUFFET ระบุว่า วิกฤติช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา โควิด-19 ส่งผลกระทบมากที่สุด บริษัทประสบผลขาดทุน 2 ปีติดต่อกัน (63-64) ซึ่งได้แก้ปัญหาด้วยการปรับกลยุทธ์บริหารจัดการ ควบคุมต้นทุนการดำเนินงานและลดค่าใช้จ่ายในการบริหาร รวมถึงลดขนาดองค์กรให้เหมาะสมกับรูปแบบธุรกิจ จนสถานการณ์เริ่มกระเตื้องขึ้นต่อเนื่อง ขาดทุนลดลงจากระดับ 105 ล้านบาท ณ สิ้นปี 63 เหลือเพียง 2.92 ล้านบาท ณ สิ้นไตรมาส 1/65
ทั้งนี้การปรับโครงสร้างองค์กรตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง ทำให้ลดต้นทุนและค่าใช้จ่ายได้อย่างมีนัยสำคัญ และกลยุทธ์ธุรกิจใหม่ 3 ประการ คือ 1.พัฒนาโมเดลธุรกิจใหม่ (Re Model) 2. ปรับภาพลักษณ์แบรนด์ (Refresh Branding) และ 3.ปรับโครงสร้างบริหารจัดการ จะช่วยผลักดันให้บริษัทพลิกกลับมามีกำไรได้ในปี 65 อย่างแน่นอน โดยตั้งเป้ารายได้ 680 ล้านบาท และมีอัตรากำไรสุทธิไม่ต่ำกว่า 10%
ส่วนปัญหาใหม่ เช่น สงครามและเงินเฟ้อ ส่งผลกระทบบ้างแต่ไม่มีนัยสำคัญ เช่น ต้นทุนสินค้ามีการปรับตัวเพิ่มขึ้น บริษัทฯ ก็ได้มีการปรับราคาสินค้าขึ้นเป็นบางรายการ เฉลี่ยประมาณ 5 % เพื่อให้กระทบกับลูกค้าน้อยที่สุด โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างความคุ้มค่าตามแนวทางของ BEAUTY อย่างไรก็ตามได้มีการติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และปรับตัวตามความเหมาะสม
นอกจากนี้ภายใน 3 ปีข้างหน้า ตั้งเป้ารายได้ 3,000 ล้านบาท ขับเคลื่อนโดย 3 กลยุทธ์หลักข้างต้น ซึ่งจะเน้นพัฒนาสินค้าที่มีคุณภาพและเข้าถึงได้ในวงกว้าง รวมถึงเพิ่มช่องทางการจัดจำหน่ายที่หลากหลายทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งหากธุรกิจเป็นไปตามเป้าหมาย ผลประกอบการเติบโตต่อเนื่อง ราคาหุ้นก็จะสะท้อนพื้นฐานไปด้วย และกลับมาให้ผลตอบแทนที่ดีแก่ผู้ถือหุ้นอีกครั้ง
TGPRO กำไรขาขึ้น ตั้งเป้ารายได้โตไม่ต่ำ 15% ต่อปี
นายรชต ลีลาประชากุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทย-เยอรมัน โปรดักส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TGPRO ผู้ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายท่อสเตนเลส ภายใต้เครื่องหมายการค้า TGPRO เพื่อใช้ในอุตสาหกรรมการผลิต ระบุว่า ปัญหาโควิด-19 และสงคราม รวมถึงเงินเฟ้อ ส่งผลต่อต้นทุนวัตถุดิบ-พลังงานเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งบริษัทได้ปรับกลยุทธ์เน้นขายสินค้าที่มีมาร์จิ้นสูงมากขึ้น เพื่อเพิ่มศักยภาพการทำกำไร รวมถึงลดต้นทุนที่ไม่จำเป็น และปรับราคาขายตามความเหมาะสม ซึ่งสะท้อนไปที่ผลประกอบการจากขาดทุน 2 ปีติดต่อกัน (62-63) ระดับ 172 ล้านบาท และ 58 ล้านบาท ตามลำดับ พลิกกลับมามีกำไรได้ในปี 64 ถึง 84 ล้านบาท ขณะที่ ณ สิ้นไตรมาส 1/65 มีกำไรต่อเนื่องถึง 24 ล้านบาท
สำหรับแผนระยะ 3 ปีข้างหน้าบริษัทตั้งเป้าหมายรายได้เติบโตไม่ต่ำกว่า 15% ต่อปี จาก ณ สิ้นปี 64 มีรายได้ 1,784 ล้านบาท ภายใต้ 2 กลยุทธ์ คือ 1. เน้นสินค้าที่มีมาร์จิ้นสูง 2.ทำตลาดต่างประเทศมากขึ้น ตั้งเป้าหมายสัดส่วนยอดขายประมาณ 20-25% จากปกติ 15%
ส่วนราคาหุ้นที่ปรับตัวลงในช่วงนี้ เกิดจากปัจจัยภายนอก เช่น ภาวะตลาดที่ผันผวนตามปัจจัยลบใหม่ ๆ อาทิ สงครามรัสเซีย-ยูเครน สภาวะเงินเฟ้อ และราคาพลังงานที่เพิ่มขึ้น เป็นต้น ซึ่งหากทุกอย่างคลี่คลายราคาหุ้นควรจะสะท้อนกับพื้นฐานและผลประกอบการ
PPS มั่นใจรายได้ปีนี้โต 10% ลุยรับงานใหม่ต่อเนื่อง
ดร.พงศ์ธร ธาราไชย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โปรเจค แพลนนิ่ง เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ PPS บริษัทวิศวกรที่ปรึกษาให้บริการด้านบริหารและควบคุมการก่อสร้างงานแขนงต่าง ๆ เปิดเผยว่า โควิด-19 ส่งผลกระทบให้อุตสาหกรรมก่อสร้างทั้งระบบชะงักและชะลอตัว แต่บริษัทได้ปรับนโยบายด้วยการลดค่าใช้จ่าย ควบคุมต้นทุนการดำเนินงาน รวมถึงปรับกลยุทธ์ขยายขอบเขตการรับงาน พัฒนาบริการเสริม รวมถึงการมองหาโอกาสใหม่ๆ ในการต่อยอดทางธุรกิจ เพื่อสร้างรายได้ทดแทน
ส่วนปัญหาใหม่เช่น สงครามและเงินเฟ้อ ยังไม่เห็นผลกระทบต่อการดำเนินงานอย่างชัดเจนนัก แต่บริษัทได้รับผลกระทบจากต้นทุนพนักงานที่สูงขึ้น ตามการปรับค่าตอบแทนที่เพิ่มขึ้นทุกปี ดังนั้นบริษัทจึงต้องพยายามขยายขีดความสามารถ เพิ่มช่องทางการบริการ และพัฒนาสินค้าใหม่ๆ ที่ช่วยเพิ่มมูลค่าทางธุรกิจให้แก่บริษัท นอกจากนี้การเซ็นสัญญาใหม่จะต้องเจรจาตามความเหมาะสม รวมถึงมีการบริหารจัดการต้นทุนอย่างรอบคอบ เพื่อให้บริษัทสามารถรักษามาร์จิ้นได้ตามที่คาดหมายด้วย
ปัจจุบัน บริษัทมีงานในมือ (Backlog) ณ สิ้น มี.ค.65 ที่ 501 ล้านบาท รับรู้รายได้ถึงปี 68 ขณะเดียวกันมีงานรอเซ็นสัญญาอีก 69 ล้านบาท ซึ่งตามเป้าหมายมูลค่างานใหม่ที่จะเข้ามาเติมปีนี้ตั้งเป้าไว้ที่ 400 ล้านบาท โดย ณ เม.ย.ที่ผ่านมา ทำได้แล้ว 130 ล้านบาท
ด้านผลประกอบการไตรมาส 1/65 ที่พลิกขาดทุน 0.64 ล้านบาท จากสิ้นปี 64 ที่มีกำไร 21 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทร่วมรับรู้ค่าใช้จ่ายจากการก่อสร้างพื้นที่ส่วนกลางของโครงการอสังหาริมทรัพย์แหลมยามู จ.ภูเก็ต ซึ่งถูกบันทึกเป็นอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุน และเป็นค่าใช้จ่ายเพียงครั้งเดียว (One Time Expense) ดังนั้นช่วงที่เหลือของปีคาดว่าจะสามารถกลับมามีกำไรตามรายได้ที่เพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ตั้งเป้ารายได้ปี 65 เติบโต 10% จากปีก่อนที่ทำได้ 397 ล้านบาท โดยบริษัทฯ วางแผนระยะยาว มุ่งเน้นในการปรับ Position จากผู้ควบคุมงาน สู่การเป็น Engagement Agency คือการเป็นตัวกลาง ระหว่างเจ้าของงานกับผู้รับเหมา ระหว่างผู้รับเหมากับ supplier ระหว่าง supplier กับเจ้าของงาน เพื่อให้การทำงานดำเนินไปอย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพ เกิดเป็นผลสำเร็จที่มาจากความร่วมมือของทุกคนในโครงการของเรา
บริษัทจึงมุ่งเน้นพัฒนาเทคโนโลยีที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในงานก่อสร้างมากขึ้น เพื่อสร้างเป็นการบริการใหม่ซึ่งตอบโจทย์ต่อกลุ่มลูกค้าเดิมและขยายไปสู่ตลาดลูกค้ากลุ่มใหม่ โดยในระยะยาวเทคโนโลยีดังกล่าว จะเป็นเครื่องมือขับเคลื่อนที่สำคัญที่ช่วยสร้างตัวตนใหม่และช่วยเพิ่มมูลค่าทางธุรกิจ พร้อมผลักดันให้บริษัทมีรายได้เติบโตต่อเนื่องในอนาคต