แนะสอย 20 หุ้นติดพอร์ตเดือนก.ค. ชูท็อปพิก PTTEP-BCP-TOP-BAFS กำไร Q2 โตเด่น
บล.เอเชียเวลท์ แนะสอย 20 หุ้นติดพอร์ตเดือนก.ค.65 ชูหุ้นท็อปพิก ได้แก่ PTTEP-BCP-TOP-BAFS โบรกมองกำไรไตรมาส 2 โตเด่น
เดือนกรกฎาคมจะเป็นเดือนที่ตลาดหุ้นซึมซับปัจจัยเสี่ยงหายประการ ทั้งจากเงินเฟ้อทั่วโลกที่ใกล้จุดสูงสุด รวมถึงการดำเนินนโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้นของธนาคารกลางทั่วโลก และธนาคารกลางสหรัฐฯ คาดว่าการประชุมรอบเดือนกรกฎาคมจะยังคงปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้น 0.75% ก่อนจะปรับขึ้นในอัตราที่ลดลงเหลือ 0.50% ในการประชุมรอบเดือนกันยายน และเหลือ 0.25% ในรอบเดือนพฤศจิกายน และธันวาคม
เบื้องต้นทำให้บริษัทหลักทรัพย์ เอเชียเวลท์ จำกัด คาดว่าตลาดหุ้นในช่วงต้นเดือนกรกฎาคม จะยังคงมีแนวโน้มผันผวนจากความกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอยจากผลของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลของสหรัฐที่กลับมาเร่งตัวของราคาน้ำมันดิบที่ปรับเพิ่มและความกังวลต่อภาพรวมเศรษฐกิจ จะเป็นปัจจัยกดดันสินทรัพย์เสี่ยง
ขณะเดียวกันต้องติดตามตัวเลขเงินเฟ้อ พร้อมมุมมองต่อการดำเนินนโยบายทางการเงิน หากไม่มีสัญญาณที่ hawkish มากกว่าที่คาด ทางฝ่ายวิจัยมองช่วงกลางเดือนกรกฎาคม ถึงปลายเดือนกรกฎาคมจะเป็นจังหวะที่ดีของการลงทุนรอบใหม่ รวมถึงปัจจัยหนุนในประเทศยังถูกคาดหวังเรื่องการเลือกตั้งและประเด็นการเปิดเมืองเปิดประเทศ ซึ่งจะทำให้หุ้นในกลุ่มท่องเที่ยว และหุ้นที่จะได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศยังคงน่าสนใจ
สำหรับปัจจัยข้างต้นทำให้ฝ่ายวิจัยประเมิน SET Index ในเดือนกรกฎาคม 2565 จะยังคงเคลื่อนไหวในกรอบ 1,520 – 1,600 จุด โดยให้แนวต้าน 1,520-1,540 จุด ส่วนแนวรับ 1,580-1,600 จุด
นอกจากนี้ กลยุทธ์การลงทุนทางฝ่ายวิจัยให้น้ำหนักการลงทุนหุ้นเก็บไว้ในพอร์ต 40%-50% โดยแนะนำเลือกหุ้นในกลุ่มโรงไฟฟ้า ได้แก่ RATCH, EGCO, CKP, GULF, GPSC และ BGRIM พร้อมด้วยหุ้นในกลุ่มโรงพยาบาลเลือก BH และ BDMS รวมถึงหุ้นในทีมเปิดเมืองเปิดประเทศเลือก AOT, BAFS, BEM, ERW, MINT, SHR และ VRANDA และหุ้นส่งออกกลุ่มอาหารเลือก TU, CPF, GFPT, TFG และ ASIAN ที่ได้ประโยชน์จากภาวะขาดแคลนอาหารทั่วโลก และค่าเงินบาทอ่อนค่า
ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัยแนะนำหุ้นเด่นเดือนกรกฎาคม 2565 ได้แก่ PTTEP, BCP, TOP และ BAFS
บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP ประเมินแนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 2/2565 ยังคงได้รับปัจจัยบวกหนุนจากราคาขายเฉลี่ยผลิตภัณฑ์ และยอดขายปิโตรเลียมเฉลี่ยต่อวันที่ปรับเพิ่ม โดยราคาขายเฉลี่ยผลิตภัณฑ์ ได้ประโยชน์จากราคาน้ำมันดิบดูไบไตรมาส 2/2565 อยู่ที่ 108 เหรียญต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 13.2% จากไตรมาสก่อนหน้า และเพิ่มขึ้น 61.6% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน
ขณะที่ยอดขายปิโตรเลียมเฉลี่ยต่อวันยังคงปรับเพิ่มจากไตรมาส 1/2565 ที่ผ่านมา Sentiment เชิงบวกยังหนุนการเติบโตของผลประกอบการต่อเนื่องจาก (1) แนวโน้มราคาน้ำมันดิบคาดว่าจะยังคงทรงตัวในระดับสูงจากความกังวลด้านอุปทานที่ตึงตัว และ (2) ยอดขายที่ยังคงปรับเพิ่มจากปริมาณขายที่เพิ่มขึ้นจากการเริ่ม PSC ฉบับใหม่ในโครงการเอราวัณ โครงการโอมานบงกช และล่าสุดโครงการ Algeria HBR Phase 1 (PTTEP ถือหุ้น 49%) เริ่มดำเนินการผลิตที่ระดับ 13,000 บาร์เรลต่อวัน (คาด Phase 2 เริ่มปี 2569 กำลังผลิต 60,000 บาร์เรลต่อวัน) ซึ่งมี P/BV ที่ 1.5 เท่า โดยราคาเป้าหมาย 190.00 บาท
บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP ประเมินผลประกอบการไตรมาส 2/2565 ยังมีปัจจัยหนุนจาก (1) ค่าการกลั่นที่แข็งแกร่ง โดยค่าการกลั่นสิงค์โปร์ไตรมาส 2/2565 อยู่ที่ 21.5 เหรียญต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 170% จากไตรมาสก่อนหน้า และเพิ่มขึ้น 950% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน หลังค่าการกลั่นกลุ่มผลิตภัณฑ์หลักปรับเพิ่มได้แก่ ค่าการกลั่นน้ำมันเบนซิน อยู่ที่ 35 เหรียญต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 97% จากไตรมาสก่อนหน้า ค่าการกลั่นดีเซลอยู่ที่ 43 เหรียญต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 120% จากไตรมาสก่อนหน้า และค่าการกลั่นน้ำมันเครื่องบินอยู่ที่ 39 เหรียญต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 142% จากไตรมาสก่อนหน้า และ (2) การรับรู้ Hedging loss ที่ลดลงปัจจัยบวกเรื่องของค่าการกลั่นที่ฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งเพียงพอชดเชยปัจจัยลบจากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีที่อ่อนแอจากการรับรู้ Stock Gain ที่ลดลง
รวมถึงผลกระทบจากค่าเงินบาทที่อ่อนค่า (Fx loss) ระยะยาวยังคงน่าสนใจ จากการเป็นหนึ่งในโรงกลั่นที่ยังมีการขยายกำลังกลั่น (ขยายกำลังกลั่นเพิ่มจาก 275,000 บาร์เรลต่อวัน เป็น 400,000 บาร์เรลต่อวัน เริ่มปี 2566) สวนกระแสทั่วโลกในธุรกิจโรงกลั่นที่ไม่มีการลงทุนเพิ่ม โดยเฉพาะในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาที่เกิดสถานการณ์โควิด-19 ในภาวะที่อุปทานยังคงมีภาวะตึงตัว ทำให้เชื่อว่าค่าการกลั่นในกลุ่มผลิตภัณฑ์หลักจะยังอยู่ในระดับสูงต่อเนื่องในช่วง 1-2 ปีข้างหน้า ด้าน Valuation ยังคงน่าสนใจ
โดยปัจจุบันราคาหุ้น TOP ซื้อขายค่า PBV ที่ 0.89 เท่า โดยให้ราคาเป้าหมาย 70.00 บาท
บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ BCP ประเมินแนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 2/2565 ยังคงแข็งแกร่งต่อเนื่อง แม้การรับรู้ปัจจัยบวกจาก Stock gain ที่ลดลงจากกรอบการปรับขึ้นของราคาน้ำมันดิบที่จำกัด อย่างไรก็ตามผลประกอบการยังได้รับปัจจัยบวกจาก (1) กำไรจากธุรกิจการกลั่นที่แข็งแกร่งมาจากค่าการกลั่นและกำลังกลั่นที่เพิ่มขึ้น (2) ผลประกอบการกลุ่มสถานีบริการน้ำมันปรับเพิ่มจากการฟื้นตัวของค่าการตลาด (3) กำไรจากธุรกิจไฟฟ้า (BCPG) ที่ปรับเพิ่มจากกำลังผลิตไฟฟ้าใหม่ที่เพิ่มขึ้น
และ (4) กำไรจากธุรกิจ E&P ที่แข็งแกร่งจากราคาน้ำมันดิบที่ปรับเพิ่ม ซึ่งราคาหุ้นยังมีอัพไซด์ 21% แม้จะซื้อในระดับที่สูงกว่าเมื่อเทียบกับกลุ่มโรงกลั่น แต่ BCP ยังมี Sentiment เชิงบวกจากธุรกิจอื่นที่แข็งแกร่งทั้ง E&P ธุรกิจไฟฟ้า และธุรกิจสถานีบริการ ทำให้ BCP ยังคงน่าสนใจในการลงทุน ซึ่งมี P/BV ที่ 0.8 เท่า โดยให้ราคาเป้าหมาย 38.00 บาท
บริษัท บริการเชื้อเพลิงการบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BAFS ประเมินแนวโน้มธุรกิจที่กลับมาฟื้นตัว โดยเฉพาะธุรกิจหลักที่ได้ประโยชน์จากปริมาณเติมน้ำมันที่เพิ่มขึ้นทั้งจากสนามบินสุวรรณภูมิ และดอนเมือง รวมไปถึงปริมาณขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิงในช่วงไตรมาส 2/2565 ปรับเพิ่มขึ้นเป็นปัจจัยหนุนการฟื้นตัวของรายได้
ทั้งนี้ประกอบกับการผ่อนคลายมาตรการควบคุมโควิด-19 มาตรการเปิดเมืองเปิดประเทศ เป็นปัจจัยหนุนทั้งปริมาณการใช้น้ำมันทั้งในประเทศ และสนามบิน คาดผลประกอบการไตรมาส 2/2565 ยังคงมีผลขาดทุนในระดับ 140-150 ล้านบาท แต่เป็นภาพที่ฟื้นตัวเมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน แม้จะหดตัวจากไตรมาสก่อนหน้า แต่เป็นผลจากการไม่มีรายได้เงินปันผลจากโรงไฟฟ้า และกำไรพิเศษ เหมือนไตรมาส 1/2565 ที่ผ่านมา แต่หากไม่นับ 2 รายการดังกล่าว กำไรจากการดำเนินงานจะฟื้นตัวทั้งจากไตรมาสก่อนหน้า และเมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน โดยให้ราคาเป้าหมาย 35.00 บาท