TFMAMA ลุยออกสินค้าใหม่ หวังกระตุ้นยอดขายปีนี้โต 5%

TFMAMA คาดยอดขายปีนี้ยังโต 3-5% มั่นใจได้ไฟเขียวขึ้นราคา-ออกสินค้าพรีเมี่ยมหนุน


นายเวทิต โชควัฒนา กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด (มหาชน) หรือ SPC และกรรมการ บริษัท ไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TFMAMA คาดว่ายอดขายของบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปภายใต้แบรนด์หลักคือ มาม่า ทั้งปี 65 จะเติบโตได้ราว 3-5% สอดคล้องกับตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป หลังจากครึ่งปีแรกเติบโตราว 7% ใกล้เคียงกับตลาดรวม

ทั้งนี้ แม้ว่าครึ่งปีหลังกำลังซื้อคาดว่าจะชะลอตัวลงอย่างเห็นได้ชัด แต่เชื่อว่าสินค้าอย่าง มาม่า ยังเป็นทางเลือกของผู้บริโภคที่ราคาถูกที่สุด ขณะที่ประเด็นต้นทุนวัตถุดิบที่ปรับตัวขึ้นนั้น ที่ผ่านมาบริษัทได้ยื่นขอกระทรวงพาณิชย์เพื่อปรับขึ้นราคาสินค้า มาม่า เพิ่มขึ้นซองละ 1 บาท เป็น 7 บาท ปัจจุบันอยู่ในกระบวนการพิจารณา ซึ่งเชื่อว่าภาครัฐจะอนุญาตให้ปรับขึ้นราคาให้ในที่สุด เนื่องจากต้นทุนวัตถุดิบสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องและสต็อกวัตถุดิบเดิมก็หมดไปแล้ว

เรามั่นใจว่ากระทรวงพาณิชย์จะปรับขึ้นราคามาม่า แต่เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น เรามีหน้าที่ทำตาม ซึ่งที่ผ่านมาทางกระทรวงพาณิชย์ก็มีการขอข้อมูลเพิ่มเติม และเราก็ให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ โดยขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการพิจารณา โดยเชื่อว่ากระทรวงพาณิชย์เข้าใจอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าต้องทำตามขั้นตอน” นายเวทิต กล่าว

ขณะที่บริษัทออกผลิตภัณฑ์ใหม่ในหมวดสินค้าพรีเมียม ซึ่งมีราคาสูงขึ้นจากราคาสินค้าพื้นฐาน แต่เชื่อว่าจะยังเติบโตได้ดี โดยล่าสุด มาม่า ได้ออกผลิตภัณฑ์ใหม่ “มาม่า สูตร Less Sodium” 4 รสชาติ ได้แก่ รสต้มยำกุ้ง รสหมูสับ รสต้มยำกุ้งน้ำข้น รสเส้นหมี่น้ำใส ในราคา 8 บาท มั่นใจว่าผลิตภัณฑ์ดังกล่าวจะได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากผู้บริโภคเหมือนกับที่ผ่านมา

นอกจากนี้ มาม่า ยังมีแผนการออกผลิตภัณฑ์ใหม่อย่างต่อเนื่องที่นอกเหนือจากสินค้าพรีเมียมดังกล่าว เพื่อกระตุ้นยอดขายในช่วงที่เหลือของปี อีกทั้งการตลาดในช่องทางใหม่ๆ อย่าง Metaverse เพื่อสอดรับกับพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป โดยล่าสุด ได้เปิดตัว NFT COLLECTION ภายในงานสหกรุ๊ปแฟร์ ครั้งที่ 26 เพื่อให้ผู้บริโภคได้ร่วมสนุก และสะสม NFT ซึ่งก็ได้รับการตอบรับที่ดีมาก

นายเวทิต ยังกล่าวในฐานะผู้บริหารเครือสหพัฒน์ว่า แม้วาในระยะนี้กระทรวงพาณิชย์ขอให้บริษัทตรึงราคาขายสินค้าไว้ก่อน แต่ปัจจุบันยังไม่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจ เพราะยังสามารถทำกำไรได้ เนื่องจากบริษัทมีการส่งออกสินค้าด้วย ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนราว 20-30% และยังมีการขายสินค้าอื่นๆ ส่วนการขึ้นราคาสินค้าอื่นๆ ในเครือบริษัทก็มีการขยับขึ้นตามต้นทุนไปบ้างแล้ว

Back to top button