เปิดโผ 13 หุ้น ราคาพุ่งกว่า 50% ครึ่งปีแรก! ลุ้น WPH-ESSO ทะยานต่ออัพไซด์เฉียด 30%

เปิด 13 หุ้นราคาทะยานกว่า 50% ฝ่าวิกฤตตลาดหุ้นขาลงช่วงครึ่งแรกปี 65 "ชนะตลาด" ฟากโบรกแนะซื้อWPH-ESSO โอกาสไปต่อยังมีอัพไซด์สูงเฉียด 30%


ผ่านไปแล้วครึ่งทางสำหรับการลงทุนในปี 2565 โดยภาพรวมครึ่งปีแรกดัชนีตลาดหุ้นไทย (SET Index) เคลื่อนไหวผันผวนอิงไปในทิศทางขาลงเป็นส่วนใหญ่มีการปรับตัวลง 89.29 จุ หรือลงไป 5.38% ซึ่งวัดจากดัชนีปิด ณ วันที่ 30 มิ.ย. 65 อยู่ที่ 1,568.33 จุด เทียบกับดัชนีปิดวันที่ 30 ธ.ค. 64 อยู่ที่ 1,657.62 จุด

ทั้งนี้ หากพิจารณาในหุ้นกลุ่ม SET จะเห็นว่า ยังมีหุ้นที่สามารถให้ผลตอบแทนเป็นบวกสูงเกิน 50% จำนวน 13 บริษั CPH, TEAMG, FORTH, CPL, TH, WPH, NFC, BIOTEC, THG, TSR, ESSO, ASAP และ THREL

สำหรับหุ้นที่ราคาพุ่งขึ้นมากที่สุดในครึ่งปีแรกคือ บริษัท คาสเซ่อร์พีคโฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPH โดยวันที่ 30 มิ.ย. 65 อยู่ที่ระดับ 25.50 บาท เทียบกับวันที่ 30 ธ.ค. 64 อยู่ที่ระดับ 3.82 บาท บวกไป 21.68 บาท หรือขึ้นไป 567.54% ซึ่งเป็นการเข้าเก็งกำไรหลังจากผลประกอบการไตรมาส 1/2565 ไปในทิศทางที่ดีสามารถพลิกมามีกำไรสุทธิ 47.67 ล้านบาท เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนขาดทุนสุทธิ 30.32 ล้านบาท

ขณะที่ส่วนของค่า P/E ล่าสุดอยู่ที่ 10.66 เท่า ถือว่าราคายังไม่แพง กรอบกับสัญญาณเทคนิคอยู่ในช่วงขาขึ้นจึงเกิดแรงซื้อเก็งกำไรระลอกใหญ่ส่วนปัจจัยอื่นทางบริษัทชี้ว่ายังไม่มีพัฒนาการใดๆเข้ามาหนุน

บริษัท ทีม คอนซัลติ้ง เอนจิเนียริ่ง แอนด์ แมเนจเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ TEAMG โดยวันที่ 30 มิ.ย. 65 อยู่ที่ระดับ 6.35 บาท เทียบกับวันที่ 30 ธ.ค. 64 อยู่ที่ระดับ 3.04 บาท บวกไป 3.31 บาท หรือขึ้นไป 108.88% ซึ่งเป็นเพราะในส่วนหนึ่งรับปัจจัยบวกหลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 คลี่คลายลงประกอบกับการเปิดประเทศ ทำให้การดำเนินงานต่างๆในโครงการภาครัฐและเอกชนเริ่มกลับมาฟื้นตัว ส่งผลให้บริษัทสามารถรับงานได้เพิ่มมากขึ้น

รวมถึงงานในต่างประเทศที่เริ่มกลับมามีรายได้หลังจากชะลอไปในช่วงปีที่ผ่านมา ทำให้บริษัทมี Backlog กว่า 3,750 ล้านบาท รวมทั้งในปี 2565 ยังมีโอกาสงานสาธารณูปโภคขนาดใหญ่อีกหลายโครงการ จึงมีโอกาสที่งานในมือ (Backlog) จะแตะ 4,000 ล้านบาทได้ในปีนี้

บริษัท ฟอร์ท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)หรือFORTH โดยวันที่ 30 มิ.ย. 65 อยู่ที่ระดับ 42.00 บาทเทียบกับวันที่ 30 ธ.ค. 64 อยู่ที่ระดับ 21.20 บาท บวกไป 20.80 บาท หรือขึ้นไป 98.11% สำหรับการปรับตัวขึ้น เนื่องจากตู้จำหน่ายเครื่องดื่มอัตโนมัติเต่าบินยังคงได้กระแสตอบรับที่ดีอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทเตรียมเพิ่มสินค้าและขยายจำนวนตู้เต่าบินในรูปแบบเดียวกันกับตู้เติมเงินบุญเติมด้วย ทำให้ในอนาคตมีโอกาสเติบโตได้อีกมากหลังจากช่วงไตรมาส 1/2565 ทำกำไรเติบโตก้าวกระโดดมาอยู่ที่ 236.56 ล้านบาท จากงวดเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 184.22 ล้านบาท

นอกจากนี้ บริษัทตั้งเป้ารายได้ปี 2565 เติบโต 20% มาจากทุกธุรกิจ ทั้งธุรกิจจัดหาและประกอบชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ (อีเอ็มเอส) ยังคงมีออร์เดอร์การสั่งผลิต Powerboard เข้ามาอย่างต่อเนื่อง

ส่วนธุรกิจ Enterprise Service ในปีนี้จะมีการประมูลงานโครงการจากภาครัฐเพิ่มเติม คาดว่าการเปิดประมูลงานโครงการของภาครัฐในปีนี้จะกลับมามากขึ้นหลังจากที่ชะลอตัวไปในปีก่อน ซึ่งมีงานที่บริษัทจะเข้าไปประมูลในปีนี้มูลค่ารวมราว 9.7 พันล้านบาท คาดหวังได้รับงาน 60% โดยจะเข้ามาเติมมูลค่างานในมือ (Backlog) ของบริษัทให้สูงขึ้นจากปัจจุบันมี Backlog ราว 900 ล้านบาท ทยอยรับรู้รายได้ในปีนี้ทั้งหมด

ด้านธุรกิจ SMART SERVICES ถือว่ายังทำผลงานได้ดีมาต่อเนื่อง โดยเฉพาะ ตู้บุญเติม ที่ยังคงมีลูกค้าเข้ามาใช้บริการเติมเงินและบริการอื่นๆ

ขณะเดียวกันบริษัทยังเดินหน้าในการทำตลาดที่สถานีชาร์จรถ EV ซึ่งเป็นการเติบโตไปควบคู่กับการยานยนต์ไฟฟ้าที่มีโอกาสที่มากขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้ จากการทำตลาดของค่ายรถยนต์ต่างๆที่มีการนำรถ EV ออกมาขาย และการสนับสนุนด้านภาษีของภาครัฐที่ทำให้ราคารถ EV ูกลง และเกิดการใช้งานที่แพร่หลายมากขึ้น แต่ยังมองว่าเป็นการค่อยๆเติบโตขึ้นตามจำนวนการใช้ร EV ในตลาด

สำหรับข้อมูลข้างต้นเป็นเพียงตัวอย่างของราคาหุ้นที่ปรับตัวขึ้นซึ่งสามารถดูรายละเอียดตัวอื่นจากตารางประกอบ

อย่างไรก็ตามเมื่อเข้าไปสำรวจว่าโอกาสหุ้นดังกล่าวข้างต้นยังมีโอกาสปรับตัวขึ้นต่อหลังจากยังมีอัพไซด์เมื่อเทียบกับราคาเป้าหมายของนักวิเคราะห์ประเมินไว้พบว่ามี WPH และ ESSO

บริษัท โรงพยาบาลวัฒนแพทย์ ตรัง จำกัด (มหาชน) หรือ WPH โดยทาง บล.ไอร่า ระบุว่าบริษัทฯจะได้รับประโยชน์จากเปิดประเทศ และโรงพยาบาลอยู่ในแหล่งท่องเที่ยว ซึ่งโรงพยาบาลวัฒนแพทย์ ตรัง (WPH) ปัจจุบันมีโรงพยาบาล ในเครือ 2 แห่งที่ จ.ตรัง และ อ่าวนาง จ.กระบี่  สามารถรองรับผู้ป่วย IPD รวม 179 เตียงต่อวัน และ OPD รวม 1,200 คนต่อวัน อยู่ระหว่างการขยายโรงพยาบาลแห่งที่ 3 ที่เกาะสมุย ขนาด 53 เตียง

โดยคาดจะเปิดให้บริการไตรมาส 4/2565 – ไตรมาส 1/2566 ซึ่งตั้งอยู่ในแหล่งท่องเที่ยว คาดสามารถรองรับผู้ป่วยต่างชาติ ซึ่งสอดคล้องกับการเปิดประเทศ หลังสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย ทำให้นักท่องเที่ยวต่างชาติดีขึ้น

หลังจากช่วงที่ผ่านมาผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/2565 มีรายได้บริการ 326 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัวจากไตรมาส 1/2564 ซึ่งปัจจัยหนุนการเติบโตมาจากทั้ง IPD อยู่ที่ 64% ของรายได้ และ OPD อยู่ที่ 36% ของรายได้) เพิ่มขึ้น 113% และ 74%

นอกจากนี้จากฝ่ายวิจัยคาดว่าแนวโน้มปี 2565 ผู้บริหาร WPH คาดรายได้โต 10% เป็น 1.35 พันล้านบาท ภายใต้สัดส่วนรายได้จากผู้ป่วยต่างชาติที่คาดเพิ่มขึ้นจาก 1% เมื่อปี 2564 เป็น 10% ในปี 2565 พร้อมแผนเปิดศูนย์ Wellness และคาดผลประกอบการโรงพยาบาลวัฒนเเพทย์อ่าวนางฟื้นตัว และภายใต้ Net Profit Margin ประมาณ 15-17% เบื้องต้นคาดกำไรสุทธิประมาณ 200-230 ล้านบาท หรือ 0.33 – 0.38 บาท และคาดเงินปันผล 0.13 – 0.15 บาท โดยประเมินภายใต้นโยบายไม่ต่ำกว่า 40% แนะนำ “ซื้อ” ให้ราคาพื้นฐาน 6 บาท เมื่อเทียบกับราคาหุ้นปิด ณ วันที่ 1 ก.ค. 65 อยู่ที่ 4.66 บาท เท่ากับว่าเหลืออัพไซด์ 28.75%

บริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ ESSO โดยทาง บล. เคจีไอ ระบุว่า มีการประเมินกำไรปีนี้ขึ้นจากเดิมอีก 109% เป็น 1.37 ล้านบาท และในปี 2566 ขึ้นอีก 20% เป็น 5.7 พันล้านบาท เนื่องจากสเปรซ ของผลิตภัณฑ์จากการกลั่นเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

โดยปรับเพิ่มสมมติฐาน เสปรซ ของน้ำมันเบนซิน 22.0 ดอลลาร์/บารเรล , น้ำมันเครื่องบิน 19.0 ดอลลาร์/บารเรล และน้ำมันดีเซล 21.0 ดอลลาร์/บารเรล ในปี 2565 และในปี 2566 เสปรซ ของน้ำมันเบนซิน เป็น 16.0 ดอลลาร์/บารเรล, น้ำมันเครื่องบิน 16.0 ดอลลาร์/บารเรล และน้ำมันดีเซล 16.0/ ดอลลาร์/บารเรล ส่งผลให้ประมาณการ base GRM ของ ESSO ปีนี้เพิ่มขึ้น 45% เป็น 10.4/ ดอลลาร์/บาร์เรล และปีหน้าเพิ่มขึ้น 12% เป็น 7.3 ดอลลาร์/บารเรล

ทั้งนี้ เพื่อสะท้อนถึงการปรับเพิ่มประมาณการกำไร และกำไรที่กลับสู่ระดับปกติในปี 2566 พร้อมยังคงเลือก ESSO เป็นหุ้นเด่นของในกลุ่มพลังงาน เนื่องจากทางมองบวกกับแนวโน้มตลาดโรงกลั่นจากอุปทานผลิตภัณฑ์จากการกลั่นที่ตึงตัวขึ้นยุโรปเพราะได้รับผลกระทบจากสงครามรัสเซียยูเครน ยังคงแนะนำ ซื้อ ขยับไปใช้ราคาเป้าหมายปี 2566 ที่ 14.10 บาท จากเดิม 12 บาท เมื่อเทียบกับราคาหุ้นปิด ณ วันที่ 1 ก.ค. 65 อยู่ที่ 11.40บาท เท่ากับว่าเหลืออัพไซด์ 23.68%

 

Back to top button