BLESS เทรดสนั่น! ลุ้นวิ่งชนเป้า 1.62 บ. โบรกชูพื้นฐานแกร่ง กำไรปีนี้โต 31%
จับตา BLESS เทรดสนั่น! ลุ้นวิ่งชนเป้า 1.62 บ. โบรกชูพื้นฐานแกร่ง กำไรปีนี้โต 31% แตะ 105 ลบ. จากการรับรู้รายได้ของทั้งโครงที่อยู่ระหว่างการขายและพัฒนา
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ ( 7 ก.ค.65) หลักทรัพย์ บริษัท เบล็ส แอสเสท กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ BLESS จะเข้าจดทะเบียนและเริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง โดย BLESS ประกอบธุรกิจหลักในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ประเภทที่อยู่พักอาศัยเพื่อขาย แบ่งเป็นอสังหาริมทรัพย์หลากหลายรูปแบบประกอบด้วย บ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์โฮม และคอนโดมิเนียม Low rise ในเขตพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล ภายใต้ชื่อโครงการ Blessington, Mellizo Park, Bless Town, Blessity Park, Bless Ville และ Bleisure มีกลุ่มลูกค้าเป้าหมายหลัก ได้แก่ กลุ่มวัยเริ่มต้นทำงาน และกลุ่มครอบครัวขนาดเล็ก
นอกจากนี้ยังมีบริษัทย่อยที่บริษัทถือหุ้นร้อยละ 99.99 ที่ประกอบธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อขายและธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง ได้แก่ บริษัท เบล็ส แอสเสท จำกัด และบริษัท เบล็ส บิลด์ จำกัด ณ วันที่ 31 มีนาคม 2565 กลุ่มบริษัทมีโครงการทั้งหมด 15 โครงการ ได้แก่ โครงการที่ปิดการขายแล้ว 6 โครงการ มูลค่ารวม 2,294 ล้านบาท โครงการที่อยู่ในระหว่างการขาย 8 โครงการ มูลค่ารวม 5,469 ล้านบาท ซึ่งเป็นส่วนที่จองและทำสัญญาแล้ว 367 ล้านบาท และคงเหลือพร้อมขาย 2,970 ล้านบาท และโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างและพัฒนาระบบสาธารณูปโภค 1 โครงการ มูลค่า 720 ล้านบาท
โดย BLESS มีทุนชำระแล้ว 400 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท ประกอบด้วยหุ้นสามัญเดิม 600 ล้านหุ้นและหุ้นสามัญเพิ่มทุน 200 ล้านหุ้น โดยเสนอขายต่อบุคคลตามดุลยพินิจของผู้จัดจำหน่ายหลักทรัพย์ 150 ล้านหุ้น เสนอขายต่อผู้มีอุปการคุณของบริษัทและบริษัทย่อย 30 ล้านหุ้น และเสนอขายต่อกรรมการ ผู้บริหาร และพนักงานของบริษัทและบริษัทย่อย 20 ล้านหุ้น เมื่อวันที่ 29-30 มิถุนายน และ 1 กรกฎาคม 2565 ในราคาหุ้นละ 1.40 บาท คิดเป็นมูลค่าระดมทุน 280 ล้านบาท มูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO 1,120 ล้านบาท
ทั้งนี้การกำหนดราคาเสนอขายหุ้น IPO คิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E ratio) ที่ 15.61 เท่า คำนวณจากผลประกอบการ 4 ไตรมาสย้อนหลังของบริษัท ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2564 ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2565 ซึ่งมีกำไรสุทธิรวมเท่ากับ 71.73 ล้านบาท หารด้วยจำนวนหุ้นสามัญทั้งหมดภายหลังการเสนอขายหุ้นครั้งนี้ (fully diluted) คิดเป็นกำไรสุทธิต่อหุ้น 0.09 บาท โดยมีบริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่ายหุ้นสามัญ
ด้านนายชัยวัฒน์ โกวิทจินดาชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร BLESS เปิดเผยว่า ด้วยประสบการณ์ในธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์มากว่า 20 ปี และความเชื่อมั่นที่จะเป็นผู้นำในธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ โดยมุ่งเน้นคุณภาพและมาตรฐานการก่อสร้าง เพื่อให้บ้านเป็นมากกว่าที่อยู่อาศัยให้ทุกครอบครัวมีความสุขตลอดเวลา ที่ได้อยู่ในโครงการ โดยเงินที่ได้จากการระดมทุนในครั้งนี้จะนำไปใช้เป็นเงินลงทุนในการซื้อที่ดินและพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ ชำระคืนหนี้เงินกู้ยืม และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินกิจการ
โดย BLESS นั้นมีผู้ถือหุ้นใหญ่ 3 รายแรกหลัง IPO ได้แก่ กลุ่มโกวิทจินดาชัย ถือหุ้นรวม 40.19% กลุ่มสุขเจริญไกรศรี ถือหุ้นรวม 31.50% นายพีรนัฎฐ์ ตันติพจน์ ถือหุ้น 3.75% บริษัทมีนโยบายจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราไม่น้อยกว่า 40% ของกำไรสุทธิตามงบการเงินเฉพาะกิจการ หลังจากหักภาษีเงินได้นิติบุคคล และเงินทุนสำรองต่างๆ ทุกประเภท ตามที่กำหนดไว้ในข้อบังคับของบริษัทและตามกฎหมาย
“กำไรขั้นต้นที่อยู่ในระดับสูงกว่า 30% สะท้อนให้เห็นถึงการบริหารต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะต้นทุนในการก่อสร้าง ที่ถือเป็นอีกจุดเด่นที่สำคัญของ BLESS เนื่องจากโครงการอสังหาฯของบริษัทฯ ก่อสร้างด้วยระบบ Wall Form ที่มีความแข็งแรงและรวดเร็ว” นายชัยวัฒน์ กล่าว
สำหรับการระดมทุนและเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯครั้งนี้ ได้ช่วยเพิ่มศักยภาพในการขยายธุรกิจในช่วง 3-5 ปีข้างหน้า โดยบริษัทฯ มีแผนเปิดตัวโครงการใหม่ ซึ่งเน้นแนวราบเป็นสำคัญ รองรับดีมานด์ผู้บริโภคในตลาดระดับกลางและบน ซึ่งยังคงมีกำลังซื้อ 2-3 โครงการต่อปี ซึ่งจะช่วยผลักดันผลการดำเนินงานเติบโตอย่างก้าวกระโดด ทั้งนี้วางเป้าหมายรายได้เติบโตไม่น้อยกว่า 20% ต่อปี
ขณะเดียวกันนายอภิชาต แสงจันทร์ ผู้อำนวยการ ฝ่ายวาณิชธนกิจ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดหน่ายและรับประกันการจำหน่าย กล่าวว่า BLESS เป็นหุ้นอสังหาฯ ที่มีความน่าสนใจ เนื่องจากมีปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง ผู้บริหารมีประสบการณ์ในธุรกิจมายาวนานกว่า 30 ปี ทำให้มีความรู้ความเข้าใจตลาดเป็นอย่างดี การเข้าระดมทุนและจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯช่วยเพิ่มศักยภาพในการเติบโตให้กับบริษัทฯ โดยบริษัทฯ วางเป้าหมายรักษาการเติบโตของรายได้อย่างต่อเนื่องในแต่ละปี และรักษาอัตรากำไรขั้นต้นไว้ในระดับเฉลี่ยประมาณ 30% ต่อปี ขณะที่กำไรสุทธิในช่วงที่ผ่านมาไม่น้อยกว่า 10%
“มั่นใจว่า BLESS จะเป็นหนึ่งในหุ้นอสังหาฯที่สร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับนักลงทุน เนื่องจากอยู่ในวัฏจักรของการเติบโต เรียกได้ว่าเป็นหุ้น High Growth-High Margin จากแผนการขยายตลาดแนวราบ ในกลุ่มลูกค้าตลาดกลางและบน ที่มีกำลังซื้อค่อนข้างสูง ทำให้เห็นโอกาสการเติบโตในอนาคต” นายอภิชาต กล่าว
อย่างไรก็ดีบริษัทหลักทรัพย์ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์ว่า BLESS ดำเนินธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ประเภทที่อยู่อาศัยแนวราบระดับ Mid-to-Low เป็นหลัก และพัฒนาคอนโด Low Rise 1 แห่ง มีแบรนด์ครอบคลุมลูกค้าทุกกลุ่ม เน้นการออกแบบฟังก์ชันตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคสูงสุด ตั้งอยู่บนทำเลที่มีศักยภาพในกทม.และปริมณฑล ในราคาที่เหมาะสม ทั้งนี้ทางฝ่ายวิจัยคาดผลประกอบการ 3 ปีข้างหน้า ขยายตัว 26% CAGR จากการเน้นขายและโอนโครงการเดิม บวกกับแผนเปิดโครงการใหม่ ประเมินมูลค่าหุ้น BLESS อิง PER ที่ 8.5 เท่า ได้ราคาเหมาะสมปี 2566 ที่ 1.50 บาท
ขณะเดียวกัน บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด ระบุในบทวิเคราะห์ว่า BLESS เป็นผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์แนวราบกระจายบริเวณกรุงเทพชั้นนอกและปริมณฑล ก่อสร้างด้วยระบบ Wall Form ที่มีความแข็งแรงและควบคุมต้นทุนได้ดี ทั้งนี้ประมาณการรายได้และกำไรมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง คาดอัตราการเติบโตเฉลี่ยของรายได้ปี 2564-2566 (CAGR) ร้อยละ 25.50 ต่อปี และกำไรเติบโตเฉลี่ย (CAGR) ร้อยละ 34.20 ต่อปี เติบโตในอัตราเร่งที่สูงกว่าการเติบโตของรายได้ สำหรับการ IPO ครั้งนี้จะช่วยให้บริษัทสามารถใช้เป็นเงินทุนในการซื้อที่ดินเพื่อพัฒนาโครงการใหม่ และใช้ชาระหนี้คืนเงินกู้แก่สถาบันการเงินและใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน ประเมิน Fair value สิ้นปี 2566 ราคาเป้าหมายที่ 1.53-1.62 บาท อ้างอิงวิธี P/E ที่ 8.5-9.0 เท่า ซึ่งเป็นระดับ Forward PE เฉลี่ยของบริษัทจดทะเบียนที่ประกอบธุรกิจใกล้เคียงกัน
ด้านบริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์ว่า BLESS ประกอบธุรกิจการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ประเภทที่อยู่อาศัยเพื่อขาย ปัจจุบันบริษัทเน้นประกอบธุรกิจการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์แนวราบเป็นหลักโดยเน้นอยู่ในพื้นที่ศักยภาพบริเวณกรุงเทพฯรอบนอก และปริมณฑล ทางฝ่ายวิจัยคาดกำไรในปี 2565-2566 จะเติบโตโดดเด่นด้วย CAGR 32% อยู่ที่ 105 ล้านบาท เติบโต 31% ในปี 2565 และ 139 ล้านบาท เติบโต 33% ในปี 2566 ผลักดันจาก (1) ฐานที่ต่ำ และ (2) การรับรู้รายได้ของทั้งโครงที่อยู่ระหว่างการขายและพัฒนา รวมถึงโครงการในอนาคต ด้วยจุดเด่นของทีมบริหารมากประสบการณ์ ประกอบการการขยายฐานทุนด้วยการเสนอขายสามัญเพิ่มทุนครั้งแรกต่อประชาชน (IPO) จะช่วยผลักดันการขยายธุรกิจแนวราบในอนาคต ทางฝ่ายวิจัยประเมินมูลค่าพื้นฐาน ณ สิ้นปี 2566 ที่ 1.60 บาท โดยอิง Target PE ที่ 9 เท่า หรือคิดเป็นค่าเฉลี่ยย้อนหลังอุตสาหกรรมระยะยาว