“บล.โกลเบล็ก” แนะสอย 3 กลุ่มเด่น! “แบงก์-รพ.-ไอซีที” ลงทุนเดือนก.ค.

“บล.โกลเบล็ก” ประเมินหุ้นไทยเดือนก.ค. ยังแกว่งตัว Sideway Down ความกังวลว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะเข้าสู่ภาวะถดถอย หลังเฟดส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.75% เดือนนี้ พร้อมแนะจับตา กนง. มีโอกาสขึ้นดอกเบี้ยในครึ่งหลังปีนี้เพื่อสกัดกั้นเงินเฟ้อ แนะลงทุน 3 กลุ่มเด่น “แบงก์-โรงพยาบาล-ไอซีที”


นางสาววิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด หรือ GBS ประเมินทิศทางตลาดหุ้นไทยเดือนกรกฎาคม คาดว่ายังคงแกว่งตัวผันผวนในลักษณะ Sideway Down โดยนักลงทุนยังคงกังวลว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะเข้าสู่ภาวะถดถอย

โดยล่าสุดธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาแอตแลนตา เปิดแบบจำลองคาดการณ์ GDPNow แสดงว่าเศรษฐกิจสหรัฐหดตัว 2.1% ในไตรมาส 2/2565 จากเดิมที่บ่งชี้ว่ามีแนวโน้มหดตัว 1.0% หดตัวแรงกว่าคาดการณ์เดิมและในช่วงไตรมาส 1/2565 ที่หดตัว 1.6% บ่งชี้ภาวะเศรษฐกิจถดถอยเห็นได้จากทิศทางเงินเฟ้อของสหรัฐทรงตัวที่ระดับสูงจากรายงานที่ว่า ดัชนี PCE ทั่วไป ปรับตัวขึ้น 6.3% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนในเดือนพ.ค. หลังจากเพิ่มขึ้น 6.3% ในเดือนเม.ย.

ส่วนดัชนีราคาจากรายจ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) พื้นฐาน ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน และเป็นมาตรวัดอัตราเงินเฟ้อที่เฟดให้ความสำคัญ เพิ่มขึ้น 4.7% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนในเดือนพ.ค.

สำหรับภาพรวมในประเทศทาง กกร.ปรับประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2565 ลดเหลือ 2.75-3.5% จากเดิม 2.5-4.0% ขณะที่การส่งออกปรับเพิ่มเป็น 5-7% จากเดิม 3-5% และปรับเพิ่มอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเป็น 5.0-7.0% เพื่อให้สอดคล้องกับภาวะราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่คาดว่าจะยังอยู่ในระดับสูงต่อไปจากอัตราเงินเฟ้อในทุกประเทศทั่วโลกทรงตัวในระดับสูง เนื่องจากราคาอาหารและพลังงานที่ปรับตัวสูงขึ้น กดดันธนาคารกลางแต่ละประเทศปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพื่อสกัดเงินเฟ้อ

ขณะที่ประเทศไทยรายงานดัชนี CPI ทั่วไปเดือนมิ.ย.ขยายตัว 7.66% ในช่วงครึ่งแรกของปีดัชนี CPI เพิ่มขึ้น 5.61% ขณะที่ราคาน้ำมันดิบ WTI ปรับตัวลงแรงกดดันหุ้นกลุ่มพลังงานจึงคาดการณ์การเคลื่อนไหวของดัชนีในกรอบ 1,500-1,570 จุด ส่วนปัจจัยในประเทศที่ยังคงต้องจับตาต่อเนื่อง อาทิ แผนรับมือการระบาดของไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่

รวมทั้งการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลการประกาศผลการดำเนินงานในประจำงวดไตรมาส 2/2565 และครึ่งปีแรกของหุ้นกลุ่มธนาคาร  ส่วนปัจจัยต่างประเทศ โดยเฉพาะญี่ปุ่นเปิดเผยการใช้จ่ายภาคครัวเรือน พ.ค. และดุลบัญชีเดินสะพัดเดือนพ.ค. สหรัฐเปิดเผยตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนมิ.ย. และสต็อกสินค้าคงคลังภาคค้าส่งเดือนพ.ค. จีนเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนมิ.ย. และดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนมิ.ย. ธนาคารกลางสหรัฐ (FED) มีกำหนดประชุมเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยนโยบายในวันที่ 26-27 ก.ค.65

ดังนั้นบล. โกลเบล็ก แนะนำกลยุทธ์สำหรับการลงทุนในเดือนก.ค.ที่คาดว่าจะผันผวนในทิศทางขาลง (sideway down) แนะนำทยอยสะสมในจังหวะที่ตลาดปรับลงแรงโดย มี 3 กลุ่มเด่น ซึ่งกลุ่มแรกหุ้นที่ได้ประโยชน์จากแนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.)ในช่วงครึ่งปีหลัง และหุ้นที่ได้ประโยชน์จากกรณีธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เลิกเพดานจ่ายปันผลและทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้น  ซึ่งหุ้นที่น่าสนใจ ได้แก่  KBANK, SCB, BBL, KTB และ TISCO

รวมถึงกลุ่มที่ 2 หุ้นที่ได้อานิสงส์จากมติครม.ให้ยกเว้นภาษี VAT สำหรับผู้ประกอบการ Data Center ได้แก่ ICN, ITEL, MFEC และ INSET และกลุ่มที่ 3 หุ้นที่ได้ประโยชน์จากความกังวลของการระบาดของไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่ ได้แก่  BH, BDMS, CHG, BCH, PRINC และ WPH

ส่วนทิศทางการลงทุนทองคำ นายณัฐวุฒิ วงศ์เยาวรักษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล. โกลเบล็ก กล่าวว่า ภาพรวมทองคำในเดือนที่ผ่านมาปรับตัวลง เนื่องจากช่วงกลางเดือนเฟด เร่งปรับขึ้นดอกเบี้ยที่ 0.75% ส่งผลให้กรอบดอกเบี้ยนโยบาย 1.5-1.75% และหนุนให้ผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปีของสหรัฐปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดระดับ 3.49% สอดคล้องกับดัชนีดอลลาร์ที่ปรับตัวขึ้นแตะระดับ 105.78 เหรียญ เป็นปัจจัยกดดันราคาทองคำให้ย่อตัวลงทำจุดต่ำสุดบริเวณ 1,805 เหรียญ/ออนซ์

ขณะที่ SPDR เทขาย -17.18 ตัน อีกทั้งมุมของเฟดยังมีแนวโน้มเร่งขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่อง โดยเดือนก.ค. คาดว่าปรับขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.75% เนื่องจากเงินเฟ้อยังทรงตัวสูง เนื่องจากราคาน้ำมันดิบยังทรงตัวเหนือระดับ 105 เหรียญต่อบาร์เรล ทำให้บรรยากาศการลงทุนถูกปกคลุมด้วยนโยบายการเงินที่ตึงตัว

อีกทั้งตลาดคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจในไตรมาส 3/2565 จะเริ่มเข้าสู่ภาวะถดถอย เนื่องจากคาดว่าเฟดจะยังเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องอีก 0.75% ในเดือนนี้ ทำให้กรอบดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐขึ้นมาอยู่ที่บริเวณ 2.25-2.50% โดยตลาดยังจับตาตัวเลขภาคแรงงานทั้ง การจ้างงานและอัตราการว่างงาน เนื่องจากเป็นตัวสะท้อนก่อนเศรษฐกิจจะถดถอย อีกทั้งควรติดตามดัชนีฝ่ายจัดซื้อทั้งภาคการผลิตและภาคบริการหากออกมาต่ำกว่าระดับ 50 จะยืนยันถึงภาวะหดตัว

ดั้งนั้นฝ่ายวิจัยประเมินว่าราคาทองคำอาจแกว่งตัวในกรอบ 1,730-1,800 เหรียญ/ออนซ์ เนื่องจากยังไร้ปัจจัยหนุนใหม่อีกทั้งบรรยากาศการลงทุนถูกกดดันด้วยนโยบายการเงินที่ตึงตัว คำแนะนำซื้อขายตามกรอบที่ให้ไว้

Back to top button