โบรกแนะสอย 7 หุ้นเด่นก.ค. รับ “เปิดเมือง-บาทอ่อน”
โบรกแนะสอย 7 หุ้นเด่น BDMS, BCH, ASIAN, SAPPE, TIDLOR, KCE, JMT ลงทุนเดือนก.ค. รับอานิสงส์เปิดเมืองหนุนเศรษฐกิจฟื้นตัว รวมถึงเงินบาทอ่อนค่าหนุน
บริษัทหลักทรัพย์ โนมูระ พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์ (14 ก.ค.65) ทางฝ่ายวิจัยประเมินระยะสั้นพอร์ตลงทุนคงน้ำหนักหุ้นไทยระดับ 55-60% ขณะที่กรอบแนวรับบริเวณ 1,550-1,530 จุด ที่แนะนำเป็นจุดเริ่มสะสมเพิ่มการลงทุนระยะกลางและยาว
ขณะที่กรอบเพิ่มน้ำหนักถัดไปอีก 10% ที่บริเวณ 1,510-1,480 จุด อิงในปี 65 ที่ 15.75 เท่า ส่วนวันนี้ประเมินตลาด “Down” หลังรายงานตัวเลขเงินเฟ้อ มิ.ย.65 ของสหรัฐฯ ออกมาสูงกว่าคาด ซึ่งนำมาสู่การปรับเพิ่มคาดการณ์สมมติฐานการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย ก.ค. 65 โดยขึ้นเป็น 1% และน่าจะตามมาด้วยการทยอยปรับมุมมองของตลาด และความเสี่ยงเศรษฐกิจถดถอย (Recession) ระยะถัดไป
กลุ่มที่เคลื่อนไหวดีกว่าตลาดยังมอง
1) กลุ่ม Anti-Commodities ที่ได้รับประโยชน์จากราคาน้ำมันที่ปรับตัวลง ได้แก่ SCGP, GPSC, BGRIM, CBG, SCC
2) หุ้นได้ประโยชน์ค่าเงินบาทอ่อน ได้แก่ GFPT, CPF, SAPPE, ASIAN, MEGA, KCE, BDMS, BH
ส่วนกลุ่มหุ้นที่เน้นตั้งรับเพื่อลงทุนระยะยาว คือ กลุ่ม High Growth ได้แก่ JMT, JMART, KCE, IIG, TIDLOR, BE8, BBIKรวมถึงกลุ่มธนาคาร ได้แก่ KBANK, BBL, SCB และกลุ่มแนวรับ รวมถึง Value Plays ที่ปรับฐานลงแรงกว่าตลาด ได้แก่ ADVANC, TIDLOR, AMATA, INTUCH, DTAC, SCC, BCH, CHG และหุ้นกลุ่ม Reopening ที่ปรับฐานลงมาแรงพร้อมกับตลาด ได้แก่ HMPRO, TIDLOR, CPALL, MAKRO รวมถึงกลุ่ม Laggard หรือมีโอกาสฟื้นตัวได้เร็วกว่าคาด ได้แก่ KTC, MAJOR, BEM
ทั้งนี้ ทางฝ่ายวิจัยเลือก BDMS, BCH, ASIAN, SAPPE, TIDLOR, KCE, JMT สำหรับการลงทุนในเดือนก.ค.
สำหรับพอร์ตการลงทุนเดือน มิ.ย. 65 ให้ผลตอบแทนลดลงที่ 6.8% แพ้ตลาด 1.3% แต่ในปี 65 YTD ยังเพิ่มขึ้น 0.22% ชนะตลาดถึง 5.34% สำหรับเดือน ก.ค. 65 ประเด็นหลักที่กำหนดทิศทางตลาด คือ
1) รายงานเงินเฟ้อ มิ.ย. 65 ที่ยังน่าจะออกมาในระดับสูง คาดธนาคารกลางต่างๆ ยังเร่งใช้นโยบายการเงินเข้มงวด สร้างความเสี่ยงเศรษฐกิจประเทศพัฒนาแล้วที่อาจเผชิญภาวะถดถอยหากเป็นไปตามที่ทางฝ่ายวิจัยคาด อาจจะสร้าง Downside คาดการณ์ GDP ของ Consensus
2) ติดตามสถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างรัสเซีย-ยูเครน และท่าที NATO ว่าจะมีมาตรการเพิ่มเติมอีกหรือไม่ หลังจากช่วงปลาย มิ.ย. 65 มีการเตรียมพร้อมเพิ่มทหารเพิ่ม 7 เท่าเป็น 300,000 ราย และลิทัวเนียที่ประกาศปิดเส้นทางขนส่งไปยังแคว้นคาลินินกราดของรัสเซีย ซึ่งเป็นพื้นที่ไม่มีการเชื่อมต่อแผ่นดินใหญ่เป็นไปตามแนวทางกลุ่ม NATO ซึ่งอาจนำไปสู่ความบาดหมางมากขึ้น รวมถึงตุรเคียสนับสนุนให้สวีเดนและฟินแลนด์เข้าเป็นสมาชิก NATO แล้ว
3) ประเด็นการเมืองในประเทศ คาดมีอิทธิพลต่อตลาดมากขึ้น โดยเฉพาะเรื่องบวกลุ้นความคาดหวังเชิงบวกจากการเข้าสู่พิจารณาร่างกฎหมายเลือกตั้งสำคัญ 2 ฉบับ ซึ่งหาก ครม. อนุมัติและเข้าสู่กระบวนการทูลเกล้าได้จะบวกต่อภาพความชัดเจนการเลือกตั้งในระยะถัดไป
ทั้งนี้เนื่องจากช่วงเวลาดังกล่าวยังเกี่ยวกับช่วงการอภิปรายไม่ไว้วางใจ รวมถึงความเสี่ยงอาจจะเกิดขึ้นได้หากนายกรัฐมนตรีไม่ได้รับความไว้วางใจ และต้องยุติหน้าที่พร้อม ครม. และกฎหมายลูกเลือกตั้งยังไม่พิจารณาไม่แล้วเสร็จ อาจจะสร้างความไม่ชัดเจนกลไกเลือกตั้งในระยะถัดไป
4) การผ่อนคลายมาตรการ Zero Covid Strategy (ZCS) ของประเทศจีน หากผ่อนคลายเพิ่มเติมต่อเนื่องจะเร็วกว่าสมมติฐานที่ Nomura คาดไว้และจะเป็นบวกต่อตลาด สร้างอัพไซด์เศรษฐกิจไทยจากภาคท่องเที่ยวกลยุทธ์แนะนำหุ้นเด่นภาพหลักอยู่ในกลุ่มที่ราคาหุ้นค่อนข้าง Laggard อยู่ในโซนปลอดภัยและมีอัพไซด์ทางพื้นฐานในธีมหลัก ดังนี้
1) กลุ่มที่เป็น Defensive และ Growth เข้าช่วง High Season ขณะที่ตลาดเริ่มมองรายได้ Non Covid-19 & Foreign เป็นตีมระยาวที่เด่นชัดขึ้น สะท้อนจากเดือน พ.ค. 65 ที่เริ่มเห็นตะวันออกกลางเข้าไทยเร่งขึ้น ขณะที่ Valuation มีส่วนลดน่าสนใจ ได้แก่ BDMS, BCH 2) กลุ่มส่งออกที่ได้ประโยชน์จากค่าเงินบาทอ่อนค่าเร่งตัวเห็นทิศทางอาหารสัตว์และเครื่องดื่มขยายตลาดใหม่ได้เร่งตัว ได้แก่ ASIAN, SAPPE
3) กลุ่มที่มีโครงสร้างธุรกิจและการเงินแข็งแรงในกระแส Reopening Play และไม่กระทบจากแรงกดดันเรื่องการปรับโครงสร้างสินเชื่อของ สคบ ได้แก่ TIDLOR แพลตฟอร์มแข็งแกร่ง
4) การฟื้นตัวของ EV Car หลังชิพขาดแคลนพ้นจุดแย่สุดในไตรมาส ได้แก่ KCE
5) กลุ่มที่ตัวธุรกิจหลักของบริษัทอยู่ในธุรกิจ High Growth และมี Ecosystem บริษัทแม่สนับสนุน ได้แก่ JMT
ส่วน Dark Horse แนะติดตามหุ้นการเติบโตสูงไปกับกระแสการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลและบริการให้คำปรึกษาด้านเทคโนโลยีดิจิทัล ได้แก่ BE8, IIG และกลุ่มโรงพยาบาลขนาดกลางและเล็กที่โตสูง ได้แก่ EKH, RJH รวมถึงกลุ่มส่งออก ได้แก่ CPF, TU, และกลุ่ม Reopening Laggard ได้แก่ JUBILE, SABINA
สำหรับทางฝ่ายวิจัยประเมินค่าเงินบาทและนักท่องเที่ยวตะวันออกกลาง มีสัญญาณบวกต่อ BDMS, BCH แนะนำซื้อลงทุน ประเด็นหนุนหลัก
1.ใน 2565 เป็นปีที่ตะวันออกกลางมี Wealth Effect จากราคาน้ำมันสูงต่อเนื่องเป็นปัจจัยบวกต่อกำลังซื้อกลุ่ม มองว่าเห็นสัญญาณนักท่องเที่ยวตะวันออกกลางเข้าไทยเร่งตัวขึ้น ล่าสุด เดือนพ.ค. 65 เข้าไทย 39,018 ราย มากกว่าช่วงเดือน พ.ค.62 ที่เข้ามาเพียง 20,386 คน (pre covid-19) เป็นสัญญาณบวก และคาดนักท่องเที่ยวตะวันออกกลางมักเข้ามารักษาพยาบาลในไทยเร่งตัวช่วงไตรมาส 3/65 โดยจำนวนนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ปกติจะเข้ามาราว 80,000 – 1แสนรายต่อเดือน ในไตรมาส 3/65 สัดส่วนรายจ่ายราว 7-8 พันล้านบาทต่อเดือนในไตรมาส 3/65
2.ขณะที่ในวงจรค่าเงินบาทอ่อนค่ามักหนุนนักท่องเที่ยวตะวันออกกลางเข้าไทยมากกว่าช่วงเดียวกันในภาวะปกติ
2) ประเทศไทยทยอย Reopening และผ่อนปรนมาตรการเข้าประเทศต่อเนื่อง รับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว กับความสัมพันธ์ไทย-ซาอุฯ ที่กลับมามีความสัมพันธ์เชิงบวกครั้งแรกในรอบ 32 ปี จะเป็นปัจจัยหนุนนักท่องเที่ยวและภาคบริการต่อเนื่อง
3) ค่าเงินบาทอ่อนค่าเป็นแรงสนับสนุนการท่องเที่ยวบริการ โดยเฉพาะกลุ่มโรงพยาบาลที่ค่ารักษาพยาบาลถูกและมีคุณภาพทั้งหมดประเมินผลบวกเริ่มสะท้อนในหลายแง่มุมต่อหุ้นกลุ่มโรงพยาบาล
บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด(มหาชน) หรือ BDMS คาดกำไรไตรมาส 2/65 ที่ 2.23 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 53% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน แต่ลดลง 35% จากไตรมาสก่อนหน้า โตเมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนจากจำนวนคนไข้เริ่มกลับสู่ระดับปกติ หลังเปิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจลดลงจากไตรมาสก่อนหน้าตามปัจจัยฤดูกาล และสัดส่วนรายได้จากโควิดลดลง
ส่วนรายได้ผู้ป่วยต่างชาติ (ตะวันออกกลาง) ปัจจุบันที่ 1.2% และ Pre-Covid 5% สะท้อนอัพไซด์ที่จะเร่งตัวขึ้นในช่วงถัดไป แนะนำซื้อราคาเป้าหมายที่ 29.30 บาท โดย PER 1 ปียังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตราว 5-10%
โดยมองโมเมนตัมดีต่อในไตรมาส 3/65 คาดกำไรเพิ่มเมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนและจากไตรมาสก่อนหน้าทั้งช่วงฤดูกาล ฤดูฝน และรายได้เสริมจากโควิดที่เริ่มระบาดระลอกใหม่ โดยคาดกำไรปี 65 เพิ่มขึ้น 33% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ที่ 1.05 หมื่นล้านบาท เติบโตดีกว่ากลุ่มฯ ตามรายได้จากการใช้บริการของลูกค้าทั่วไปเพิ่มขึ้นทั้งชาวไทยและต่างชาติที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ฟื้นตัวเข้าใกล้ Pre-COVID
โดยในปี 2565 ประเมินซื้อขายบน PER ที่ 40 เท่า ยังเป็นจุดเข้าซื้อได้ เป็นหุ้น defensive ที่โมเมนตัมดี ทั้งไตรมาส 2/2565 และจะเร่งตัวเมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนและจากไตรมาสก่อนหน้าต่อในไตรมาส 3/65
ส่วนภาพรวมจำนวนผู้ป่วยเริ่มกลับสู่ระดับปกติ ทั้งชาวไทย และต่างชาติ หลังจากเปิดประเทศ โดยมีรายได้โควิดช่วยเสริมและราคาน้ำมันในระดับสูง บวกต่อ Wealth Effect กลุ่ม Middle east ซึ่งลูกค้ากลุ่มนี้เข้าไทยเพิ่มมากขึ้น
บริษัท บางกอก เชน ฮอสปิทอล จำกัด (มหาชน) หรือ BCH แนะนำซื้อราคาเป้าหมายที่ 23.70 บาท โดยมีมุมมอง Slightly positive ต่อแนวโน้มไตรมาส 2/65 คาดกำไรสุทธิ 1,190 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน แต่ลดลง 41% จากไตรมาสก่อนหน้า เติบโตเล็กน้อยเมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน แต่ลดลงจากไตรมาสก่อนหน้า เนื่องจาก ดังนี้
1) คาดรายได้เพิ่มขึ้น 14% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน แต่ลดลง 31% จากไตรมาสก่อนหน้า เติบโตจากลูกค้าทั่วไป (Non COVID) ทั้งชาวไทยและต่างชาติกลับมาใช้บริการเพิ่มขึ้น และการให้บริการเกี่ยวกับ COVID คาดมีสัดส่วน 55% ของรายได้ไตรมาส 2/65
2) คาด อัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 42.5% ลดลงจากการลดอัตราจ่ายค่ารักษาและให้บริการโควิดของภาครัฐฯ รวมทั้งอัตราค่ารักษาเฉลี่ยของลูกค้าทั่วไป IPD ต่ำกว่าไตรมาส 2/64
ขณะที่ต้นทุนบริการเพิ่มขึ้น 22% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน แต่ลดลง 28% จากไตรมาสก่อนหน้า คาดเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนกว่ารายได้จากต้นทุนโรงพยาบาลใหม่และมีค่าธรรมเนียมแพทย์เพิ่มขึ้น มองแนวโน้มไตรมาส 3/2565 เบื้องต้นทางฝ่ายวิจัยคาดว่ากำไรสุทธิลดลงเมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนจากไตรมาส 3/64 ที่มีกำไรสุทธิ 2.9 พันล้านบาท และลดลงจากไตรมาสก่อนหน้าตามทิศทางรายได้ธุรกิจโรงพยาบาลและอัตรากำไรขั้นต้นลดลง
อย่างไรก็ตามการระบาดของโควิดสายพันธุ์ย่อย และมียอดผู้ป่วยเพิ่มขึ้นทำให้ในปี 2565 รายได้เกี่ยวกับโควิดจะสูงกว่าสมมติฐานที่คาดว่าจะมีรายได้ราว 5 พันล้านบาท
โดยประเมินรายได้เกี่ยวกับ COVID เพิ่มขึ้น 20% จาก 5 พันล้านบาท จะทำให้ประมาณการรายได้และกำไรสุทธิปี 2565 เพิ่มขึ้น 6% และเพิ่มขึ้น 5% รวมทั้งมีผลบวกเล็กน้อยต่อราคาเป้าหมายในปี 2565 22F เพิ่มขึ้น 0.10 บาท จาก 23.70 บาท
ทั้งนี้มองว่ากำไรสุทธิปี 2565 ผ่านจุดสูงสุดไปแล้วในไตรมาส 1/2565 ไม่ใช่ปัจจัยลบใหม่ต่อหุ้น BCH ขณะที่ยังมีแรงกระตุ้นบวกระยะกลางและยาวจากความเป็นไปได้ของการปรับขึ้นค่ารักษาประกันสังคม และการเติบโตของลูกค้าต่างชาติจากการเปิดศูนย์แผลเบาหวานแห่งที่ 2 ยังคงคำแนะนำซื้อราคาเป้าหมาย 23.70 บาท