ศึกครั้งสุดท้าย ! “เด็ดหัว สอยนั่งร้าน” ยุทธการล้มรัฐบาล “บิ๊กตู่”
ศึกซักฟอกครั้งสุดท้าย ! "เด็ดหัว สอยนั่งร้าน"ยุทธการล้มรัฐบาล “บิ๊กตู่” สะเทือนเลือกตั้งใหญ่
ยุทธการ “เด็ดหัว สอยนั่งร้าน” ที่ ส.ส.พรรคฝ่ายค้านใช้เป็นธีมหลักในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ หวังสอยผู้นำรัฐบาลอย่าง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และรัฐมนตรีทั้ง 10 คน ให้ตกเก้าอี้ในช่วง “โค้งสุดท้าย”ของรัฐบาล ก่อนจะหมดวาระการทำงานในปี 2566 ทำให้ “ศึกซักฟอก” ระหว่างวันที่ 19 – 22 กรกฎาคม 2565 จึงเป็นการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล “ครั้งสุดท้าย” ที่งานนี้แม้ฝ่ายค้านจะไม่สามารถเด็ดหัว 11 รัฐมนตรีให้หลุดจากเก้าอี้ด้วยเสียงสนับสนุนในสภาฯได้ แต่ข้อมูลความ “ล้มเหลว” ของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ อาจสะเทือนถึง “ดวงดาว” ในการเลือกตั้งใหญ่แน่นอน
อย่างที่ทราบกันดีว่า เป้าหมายของ “ศึกซักฟอก” ภายใต้ยุทธการ “เด็ดหัว สอยนั่งร้าน” ได้ล็อกเป้าโจมตีไว้ที่ 11 รัฐมนตรี ทั้งจากพรรคพลังประชารัฐ พรรคภูมิใจไทย และพรรคประชาธิปัตย์ ทำให้พรรคฝ่ายค้านได้แบ่งกลุ่มอภิปรายออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ ประกอบไปด้วย กลุ่ม 3 ป. ได้แก่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม , พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
กลุ่มแกนนำของพรรคร่วมรัฐบาล ได้แก่ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข , นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม , นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
กลุ่มรัฐมนตรีของแต่ละพรรค ได้แก่ นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์, นายสันติ พร้อมพัฒน์รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคลัง, นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม, นายนิพนธ์ บุญญามณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย และ นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน
โดยปมร้อนที่พรรคฝ่ายค้าน “จองกฐิน” เปิดข้อมูลที่แว่วมาว่า งานนี้หากรัฐมนตรีไม่ “จอด” ก็มี “จุก”อย่างแน่นอน โดยส่วนใหญ่เป็นข้อกล่าวหาไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ ไร้ภูมิปัญญา ไร้องค์ความรู้ ไร้ความสามารถ ไร้ประสิทธิภาพ ไร้จิตสำนึกรับผิดชอบ ปล่อยให้มีการทุจริตและแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบในหน่วยงานที่กำกับดูแล เอื้อประโยชน์ให้กับตนเองและพวกพ้อง
ขณะที่ผู้นำรัฐบาลอย่าง “พล.อ.ประยุทธ์” พรรคฝ่ายค้านจะพุ่งเป้าไปที่การบริหารในช่วง8ปีที่ผ่านมาทั้งข้อกล่าวหาขาดภาวะความเป็นผู้นำที่จะเป็นหัวหน้ารัฐบาลเป็นผู้นำที่พิการทางความคิดยึดติดแต่อำนาจไม่เคารพหลักนิติรัฐนิติธรรม ไร้คุณธรรมจริยธรรม ทำให้การบริหารราชการแผ่นดินล้มเหลว ผิดพลาด บกพร่องเสียหายอย่างร้ายแรงทุกด้าน
โดยลำดับการอภิปรายไม่ไว้วางใจ จะมี6กรอบใหญ่ทั้งเรื่องทุจริต เรื่องความผิดพลาดในการทำงานการจงใจไม่ปฏิบัติตามกฎหมายโดยจะมีพรรคฝ่ายค้านที่เสนอชื่อรัฐมนตรีคนนั้น เป็นเจ้าภาพหลักในการเปิดประเด็น และข้อมูลที่ได้ไปทำการบ้านกันมาเป็นอย่างดี
ด้วยเหตุที่เป็น “ศึกซักฟอก” ครั้งสุดท้าย ทำให้การอภิปรายไม่ไว้วางใจรอบนี้มีความพิเศษกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา เพราะ ส.ส.พรรคฝ่ายค้านสามารถลุกขึ้นอภิปรายรัฐมนตรีได้มากกว่าหนึ่งคนซึ่งที่ผ่านมาสามารถใช้สิทธิอภิปรายรัฐมนตรีได้เพียงหนึ่งคน
นายสุทิน คลังแสง ส.ส.มหาสารคาม ประธานวิปฝ่ายค้านในฐานะคีย์แมนหลักคนสำคัญใน “ศึกซักฟอก” ทุกครั้งของการอภิปรายไม่ไว้วางใจระบุว่าการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้เป็น “ครั้งสุดท้าย”ของสภาฯ และน่าจะเป็นครั้งสุดท้ายของรัฐบาลชุดนี้ ดังนั้นก็จะหวังผลอยู่ในระดับ 3 ระดับ
โดยระดับสำคัญที่สุดคือพรรคฝ่ายค้านจะสรุปทั้งหมดมาว่า 3 ปีที่รัฐบาลชุดนี้ทำงานมามีอะไรเป็นข้อล้มเหลว ผิดพลาด บกพร่อง และมีเรื่องไม่ชอบมาพากลอย่างชัดเจน ซึ่งจะมีเนื้อหาบางส่วนที่อาจจะเก่าแต่ฝ่ายค้านจะนำมาอภิปรายต่อยอดใหม่ขึ้น หลังจากที่พรรคฝ่ายค้านเคยบอกและส่งคำเตือนรัฐบาลไปแล้วในการอภิปรายก่อนหน้า แต่รัฐบาลยังคงจะดึงดันที่จะทำต่อไป
นอกจากนี้ยังมีข้อมูลใหม่ซึ่งน่าจะเป็นหนึ่งหมัดเด็ดของพรรคฝ่ายค้านและเรื่องที่รัฐบาลเคยแถลงนโยบายการบริหารประเทศต่อรัฐสภาไว้แต่รัฐบาลไม่ได้ทำ หรือทำแล้วล้มเหลว เพราะฉะนั้น การอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้ ผลจะเกิดคือประชาชนจะได้รู้การทำงานในรอบ 4 ปีของรัฐบาล
สิ่งที่พรรคฝ่ายค้านหวังใน “ศึกซักฟอก” ครั้งนี้จึงหนีไม่พ้นความพ่ายแพ้ของ11รัฐมนตรีจากการลงมติไม่ไว้วางใจของสภาฯ โดยเฉพาะในช่วงปลายสมัยของรัฐบาล ซึ่งพรรคร่วมรัฐบาล แต่ละพรรคการเมืองก็คงจะต้องดีดตัวเองออก เพื่อแสดงจุดยืนก่อนการเลือกตั้งใหญ่อย่างที่ล่าสุดได้เกิดขึ้นกับ “พรรคเศรษฐกิจไทย” ของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า หลังพ่ายศึกเลือกตั้งซ่อมใน จ.ลำปาง ซึ่งเคยเป็นฐานเสียงสำคัญแบบหมดท่า
ทว่าหาก11รัฐมนตรียังสามารถผ่านด่านการลงมติ “ไว้วางใจ” พรรคฝ่ายค้านเชื่อว่าวิกฤตศรัทธาจะเกิดขึ้นแล้วในที่สุดก็จะมีบางพรรคอาจจะถอนตัวจากการร่วมรัฐบาล หรือไม่ถอนตัวก็อาจจะถูกสังคมบีบอย่างหนัก เพราะฉะนั้นก็จะเป็นเหตุให้รัฐบาลไปไม่รอดอาจจะมีการปรับคณะรัฐมนตรี หรือไม่ก็อาจจะไม่ปรับและประกาศ “ยุบสภา”
ส่วนผลสุดท้ายที่จะเกิดขึ้นจาก “ศึกซักฟอก” ครั้งนี้คือการ “ตายคาสนามเลือกตั้ง“ เพราะพรรคฝ่ายค้าน เชื่อว่าข้อมูลที่อภิปรายรอบนี้จะส่งผลถึงการเลือกตั้ง และเมื่อประชาชนได้ฟังข้อมูลแล้วจะเกิดความเสื่อมศรัทธาขั้นสุด ประกอบการบริหารงานของรัฐบาลในปัจจุบันเป็นที่ประจักษ์ชัดเจนแล้วว่า “ล้มเหลว” โดยเฉพาะนโยบายทางด้านเศรษฐกิจที่ “คนรวยกระจุก คนจนกระจาย”
โดยพรรคฝ่ายค้าน เชื่อว่า “ศึกซักฟอก” รอบนี้จะมีรัฐมนตรี 1-2 คนหลุดจากเก้าอี้อย่างแน่นอนจากข้อมูลการอภิปรายซึ่งเป็น “ไพ่ใบสุดท้าย” ที่จะสร้างเซอร์ไพรส์ให้รัฐบาลได้อย่างแน่นอนดีไม่ดีอาจจะเป็นนายกรัฐมนตรี และหากนายกรัฐมนตรีหลุดก็จะหลุดทั้งคณะ
“ศึกซักฟอก” ภายใต้ยุทธการ “เด็ดหัว สอยนั่งร้าน” จึงเป็นศึกที่ต่างฝ่ายต่างต้องงัด “ไม้เด็ด” มาทำศึกการเมืองครั้งนี้ ทั้งฝ่ายค้านที่ต้องเอาข้อมูลมาล้มล้างรัฐบาลให้ได้ขณะที่พรรคร่วมรัฐบาลต้องตอบคำถาม และเคลียร์ข้อมูลให้ชัดเจนมากที่สุด เพราะการอภิปรายรอบนี้ย่อมส่งผลต่อ “ศรัทธา” ที่มีกับพรรคร่วมรัฐบาลในการเลือกตั้งครั้งหน้าอย่างแน่นอน เรียกได้ว่ามีอนาคตทางการเมืองเป็นเดิมพัน