โบรกชี้ MEGA กระทบมาตรการ “เมียนมา” จำกัด ชูกำไร Q2 โตต่อ เคาะเป้า 67 บ.

MEGA โบรกชี้กระทบมาตรการ “แบงก์ชาติเมียนมา” จำกัด ชูกำไร Q2 โตต่อเนื่อง คาดกำไรปกติทั้งปีแตะ 2.2 พันลบ. แนะ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 67 บ. อัพไซด์ 41%


บริษัทหลักทรัพย์ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์ (20 ก.ค.65) โดยประเมิน บริษัท เมก้า ไลฟ์ไซแอ็นซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ MEGA ว่า เมื่อวันที่ 18 ก.ค. 65 มีข่าวธนาคารกลางเมียนมาร์มีคำสั่งให้ผู้กู้ยืมหยุดการชำระดอกเบี้ยและเงินต้นที่กู้จากต่างประเทศ ทั้งที่อยู่ในรูปเงินสดและรูปแบบอื่นใด รวมถึงมีมาตรการอื่น เช่น ห้ามการนำเข้ารถยนต์ น้ำมันเชื้อเพลิงและน้ำมันประกอบอาหาร และสินค้าฟุ่มเฟือยทุกชนิด และอนุญาตให้ใช้เงินบาทและเงินหยวนในการทำธุรกรรมการค้าตามแนวชายแดนจีนและไทยได้ โดยข่าวดังกล่าวกดดันราคาหุ้น MEGA ร่วง 10% เนื่องจากเมียนมาร์เป็นหนึ่งในตลาดสำคัญของบริษัท โดยมีรายได้จากเมียนมาร์ประมาณ 35% ของรายได้รวมหรือราว 4.50-5 พันล้านบาทต่อปี

ทั้งนี้ทางฝ่ายวิจัยมองว่าผลกระทบจากกรณีนี้มีจำกัดต่อผลประกอบการในระยะยาวเหมือนกับในช่วงเดือน ก.ย. 64 ที่ค่าเงินจ๊าดอ่อนค่าถึงกว่า 60% ทำให้ราคาหุ้นปรับลง 9% แต่ผลกำไรในไตรมาส 3/64 กลับทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 612.60 ล้านบาท การเติบโตมาจากทุกตลาดไม่เพียงเฉพาะเมียนมาร์ ส่วนหนึ่งมาจากการแพร่ระบาดที่รุนแรงขึ้นของสายพันธุ์เดลต้า ทั้งนี้บริษัทมีรายรับเป็นเงินจ๊าดโดยราคาขายอิงกับสกุลเงินดอลลาร์และไม่มีหนี้ดอลลาร์

โดยบริษัทดำเนินธุรกิจในเมียนมาร์ตั้งแต่ปี 38 เป็นธุรกิจ Distribution มีสัดส่วนการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ยาราว 65% และสินค้าอุปโภคอื่นๆ 35% บริษัทไม่มีโรงงานผลิตยาหรือสิ่งปลูกสร้างถาวรในเมียนมาร์ มีเพียงคลังสินค้าที่กระจายอยู่ทั่วประเทศ ลูกค้าคือบริษัทยาและบริษัทผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคชั้นนำ บริษัทแบ่งรายได้ออกเป็น 2 ประเภทคือรายได้ที่มาธุรกิจ Brand มีสัดส่วน 51% และธุรกิจ Distribution 49% อัตรากำไรขั้นต้นของธุรกิจ Brand สูงกว่ามากคือ 65-69%

ขณะที่ธุรกิจ Distribution มีอัตรากำไรขั้นต้น 18-20% รายได้จากเมียนมาร์คิดเป็นสัดส่วน 70-75% ของกลุ่มธุรกิจ Distribution จึงมีสัดส่วน 35% ของรายได้รวม แต่มีสัดส่วน 20% ของกำไรขั้นต้นของกลุ่ม และจากการคำนวณของทางฝ่ายวิจัย เชื่อว่าเมียนมาร์มีสัดส่วนเพียง 13-16% ของกำไรสุทธิของทั้งกลุ่ม หากตัดยอดขายของเมียนมาร์ออกทั้งหมด อิงค่า PE ที่ 26 เท่าเท่าเดิม ราคาเหมาะสมจะอยู่ที่ 53 บาท ซึ่งราคาหุ้นปัจจุบันรับข่าวร้ายประเด็นนี้ไปแล้ว

อย่างไรก็ดีทางฝ่ายวิจัยยังคงประมาณการกำไรปกติปี 65 ไว้ที่ 2,220.40 ล้านบาท เติบโต 21.40% จากงวดเดียวกันของปีก่อน โดยกำไรในไตรมาส 2/65 คาดว่าจะดีใกล้เคียงกับไตรมาส 1/65 ซึ่งจะทำให้กำไรในงวดครึ่งปีแรก 65 มีสัดส่วน 52-54% ของทั้งปี สำหรับราคาหุ้นปรับลงมาจนมีค่า PE ที่ 20.30 เท่าและ EV/EBITDA ที่ 14.8 เท่า ซึ่งต่ำกว่ากลุ่มค้าปลีกราว 25% และต่ำกว่า Blackmores (BKL AU) ที่มี PE ที่ 44.10 เท่า และ EV/EBITDA ที่ 15.50 เท่า เป็นโอกาสในการซื้อ ทั้งนี้จึงคงราคาเป้าหมาย 67 บาท

Back to top button