พรีวิว! 5 หุ้น “ลีสซิ่ง” งบไตรมาส 2 กำไรแกร่ง ชู HENG โต 83%
โบรกคาด HENG-MTC-SAK-SAWAD-TIDLOR สามารถทำกำไรไตรมาส 2/65 รวมประมาณ 3.6 พันล้านบาท ฟาก SAWAD กวาดกำไร 1.3 พันล้าน ขณะที่ HENG เติบโตแกร่ง 83% จากงวดเดียวของปีก่อน
งบการเงินของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในตลาดหลักทรัพย์ช่วงไตรมาส 2 ปี 2565 ทยอยประกาศออกมานำโดยกลุ่มแบงก์ถือว่ากำไรสุทธิเติบโตแข็งแกร่งซึ่งจะสะท้อนไปยังกลุ่มการเงินอื่นอย่างลีสซิ่งว่ากำไรสุทธิมีโอกาสที่เติบโตเช่นเดียวกัน เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน
สะท้อนจากนักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จํากัด (มหาชน) ยังมีมุมมองเชิงบวกต่อกลุ่มลีสซิ่ง โดยประเมินว่า คาดว่ากำไรสุทธิไตรมาส 2 ปี 2565 ของผู้ให้บริการสินเชื่อทะเบียนรถยนต์ 5 บริษัทภายใต้การวิเคราะห์ของฝ่ายวิจัยประกอบด้วย HENG, MTC, SAK, SAWAD และ TIDLOR คาดจะอยู่ที่ 3.6 พันล้านบาท ทรงตัวจากไตรมาสก่อน แต่เพิ่มขึ้น 8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
ทั้งนี้กำไรก่อนตั้งสำรอง (PPOP) ที่แข็งแกร่งขึ้นในไตรมาส 2 ปี 2565 จะถูกชดเชยด้วย ECL ที่คาดว่าจะสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม คาดว่ากำไรจะกลับมาเติบโตเมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน ในระดับปานกลาง โดยได้แรงหนุนจากการเติบโตของสินเชื่อที่แข็งแกร่งจากความต้องการสินเชื่อที่สูงขึ้นหลังจากธุรกิจต่างๆ เริ่มกลับมาดำเนินการได้ตามปกติ และราคาสินค้าเกษตรที่สูงขึ้น ต้นทุนดอกเบี้ยจะเริ่มเพิ่มขึ้นเล็กน้อยในไตรมาส 2 ปี 2565 แต่จะมีผลกระทบเพียงเล็กน้อยต่อกำไร
ขณะเดียวกันยังมีมุมมองของนักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์ ประเมินต่อผลกำไรสุทธิไตรมาส 2 ปี 2565 หุ้น SAWAD, SAK, HENG, TIDLOR และ MTC ดังต่อไปนี้
บริษัท หลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์ โดยประเมิน บริษัท ศรีสวัสดิ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SAWAD คาดว่าจะรายงานกำไรในไตรมาส 2 ปี 2565 อยู่ที่ 1.03 พันล้านบาท ทรงตัวจากไตรมาสก่อน และลดลง 7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
อย่างไรก็ดี SAWAD ยังคงเป็นหุ้นในกลุ่มไฟแนนซ์ที่ยังแนะนำในด้านของผลการดำเนินงานในช่วงไตรมาส 2 ปี 2565 จะเริ่มเห็นการฟื้นตัวกลับมา หลังจากผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วในช่วงไตรมาส 1 ปี 2565
สำหรับการฟื้นตัวของผลการดำเนินงานในไตรมาส 2 ปี 2565 จะมาจากรายได้ดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น จากในส่วนของกลุ่มสินเชื่อเช่าซื้อมอเตอร์ไซด์ที่กลับมาฟื้นตัวขึ้นค่อนข้างเร็ว ส่วนหนึ่งมาจากรายได้กลุ่มอาชีพที่เกี่ยวข้องกับการเกษตรปรับตัวขึ้นช่วยหนุนทำให้กำลังซื้อของกลุ่มดังกล่าวซึ่งเป็นกลุ่มที่พึ่งพาการใช้บริการสินเชื่อจากธุรกิจไฟแนนซ์กลับมามากขึ้น อีกทั้งในด้านของราคาหุ้นที่ปรับตัวลงมามากในช่วงที่ผ่านมา ทำให้มีความน่าสนใจโดยอัพไซด์จากราคาเป้าหมาย โดยแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 74 บาท
ขณะเดียวกัน บริษัท ศักดิ์สยามลิสซิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ SAK คาดว่าจะรายงานกำไรไตรมาส 2 ปี 2565 อยู่ที่ 169 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2% จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้น 23% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยคาดว่ากำไรจะเติบโตขึ้นเล็กน้อยจากไตรมาสก่อน ได้แรงหนุนจากการเติบโตของสินเชื่อที่ดีขึ้น 9% จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้น 29%จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการกลับมาเปิดธุรกิจใหม่อีกครั้งและอัตราส่วนต่างดอกเบี้ย (NIM) ที่ดีขึ้นตามฤดูกาล
ขณะที่คาดว่ากำไรที่เติบโตแข็งแกร่งจากช่วงเดียวกันของปีก่อน จะได้รับแรงหนุนจากการเติบโตของสินเชื่อที่สูงขึ้นและสัดส่วนต้นทุนต่อรายได้ที่ลดลงจากการประหยัดต่อขนาดที่ดีขึ้น SAK เปิดสาขาใหม่เชิงรุกในครึ่งปีแรก และคาดว่าอัตราส่วนต้นทุนต่อรายได้จะค่อยๆ ลดลงในครึ่งปีหลัง เนื่องจากเริ่มมีสินเชื่อใหม่จากสาขาใหม่ รวมทั้งคาดว่า NPL ratio ของ SAK ในไตรมาส 2 ปี 2565 จะเพิ่มขึ้นเป็น 2.5% จากไตรมาส 1 ปี 2565 อยู่ที่2.3% จากการสิ้นสุดมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ตั้งแต่ปลายปี 2564 ยังคงแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 7.70 บาท
นอกจากนี้ บริษัท เฮงลิสซิ่ง แอนด์ แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ HENG คาดว่าจะรายงานกำไรไตรมาส 2 ปี 2565 อยู่ที่ 88 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 33% จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้น 83% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน มาจากการเติบโตของกำไรที่แข็งแกร่งจากไตรมาสก่อน คาดจะได้แรงหนุนจากการเติบโตของสินเชื่อที่ 5% หนุนจากสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์มือสองและสินเชื่อทะเบียนรถยนต์ ผลตอบแทนสินเชื่อที่สูงขึ้น 4% จากไตรมาสก่อน และต้นทุนความเสี่ยงของสินเชื่อที่ลดลงเป็น 3.50% จาก 4.05% ในไตรมาส 1 ปี 2565
ทั้งนี้เป็นผลมาจากการตั้งสำรองพิเศษ (Management overlay) ที่ลดลงจากการย้ายลูกค้าไปสู่การปรับโครงสร้างหนี้ระยะยาว คาดว่า HENG จะมีเงินกู้ภายใต้การปรับโครงสร้างหนี้ระยะยาว 1.5 พันล้านบาท ในไตรมาส 2 ปี 2565 ซึ่งส่วนใหญ่เป็นแผนการปรับโครงสร้างหนี้ของ ธปท. (มาตรการสีฟ้า) ยังคงแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 3.60 บาท
ด้าน บริษัท หลักทรัพย์ เคทีบีเอสที จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์ โดยประเมิน บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ MTC คาดว่ากำไรสุทธิไตรมาส 2 ปี 2565 อยู่ที่ 1.4 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 10% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 1% จากไตรมาสก่อนหน้ามาจากสินเชื่อที่ขยายตัวต่อเนื่องสูงถึง 30% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน และ loan yield เริ่มดีขึ้นเล็กน้อยตามจำนวนวันที่เพิ่มขึ้น
ขณะที่ต้นทุนทางการเงินทยอยปรับตัวขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า และ cost to income อยู่ในระดับสูงจากต้นทุนสาขาที่เปิดใหม่ในงวดจำนวน 314 สาขา และ credit cost เพิ่มขึ้นตาม NPL ที่สูงขึ้นและการกลับมาตัดจำหน่ายหนี้สูญเพิ่มขึ้นเป็นปกติ โดยยังคงคำแนะนำ “ถือ” ราคาเป้าหมาย 50.00 บาท
รวมถึง บริษัท เงินติดล้อ จำกัด (มหาชน) หรือ TIDLOR คาดว่ากำไรสุทธิไตรมาส 2 ปี 2565 อยู่ที่ 966 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 24% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน โดยเป็นผลของ 1) รายได้ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น 23% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 7% จากไตรมาสก่อนหน้า มาจากสินเชื่อขยายตัว 27% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 6% จากไตรมาสก่อนหน้า หนุนโดยการขยายระยะเวลาโปรโมชั่นสินเชื่อรถบรรทุก รวมถึงจำนวน TIDLOR Card และสาขาที่เพิ่มขึ้น
2) รายได้ค่าธรรมเนียมขยายตัวเพิ่มขึ้น 14% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนจากการเริ่มโปรโมชั่นผ่อนประกันภัย 0% 10 เดือน ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2564
ขณะที่ 3) cost to income เพิ่มขึ้นเล็กน้อยเป็น 58% จากค่าโฆษณาที่เพิ่มขึ้น และ 4) ค่าใช้จ่ายสำรองสูงขึ้น14% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 7% จากไตรมาสก่อนหน้ามาจากขนาดสินเชื่อที่เพิ่มขึ้น และ NPL ที่สูงขึ้นเป็น 1.5%
ดังนั้นยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” ปรับราคาเป้าหมายลงเป็น 38.00 บาท ปัจจุบันในปี 2565 ซื้อขายบนค่า PBV ที่ 3.5 เท่า จากเดิมที่ 46.00 บาท ในปี 2565 ซื้อขายบนค่า PBV ที่ 4.3 เท่า