“อนุทิน” งัดกฎหมายเอาผิด “ชายไนจีเรีย” ป่วยฝีดาษลิง หนีออกโรงพยาบาล
“อนุทิน” สั่งตำรวจเร่งติดตาม “ชายไนจีเรียป่วยฝีดาษลิง” หนีออกจากโรงพยาบาล พร้อมยืนยันว่า จะมีบทลงโทษและใช้กฎหมาย ทุกอย่างที่มี รวมทั้ง พ.ร.บ.โรคติดต่อ และอาจมีการเนรเทศและถูกดำเนินคดี
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันที่ 22 กรกฎาคม 2565 จากกรณีมีการพูดถึงอย่างแพร่หลายถึงผู้ป่วยโรคฝีดาษลิง ชาวไนจีเรีย อายุ 27 ปี ที่เป็นผู้ติดเชื้อในประเทศไทยรายแรกที่พบในพื้นที่ จ.ภูเก็ต ได้ทำการหลบหนีออกจากโรงพยาบาลในช่วงกลางดึก โดยใช้รถยนต์สีขาว เป็นพาหนะในการหลบหนี
นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข เปิดเผยว่า มีการประสานให้เจ้าหน้าที่ตำรวจติดตามตัวผู้ป่วยรายดังกล่าว เพราะเป็นการหลบหนีจากสถานรักษาพยาบาล โดยจากเหตุการณ์ดังกล่าว ถือเป็นพฤติกรรมที่ไม่ดี พร้อมยืนยันว่า จะมีบทลงโทษและใช้กฎหมายทุกอย่างที่มี รวมทั้ง พ.ร.บ.โรคติดต่อ และอาจมีการเนรเทศและถูกดำเนินคดี โดยผู้ติดเชื้อคนดังกล่าวเข้ามาทางจ.ภูเก็ต ยืนยันว่ากำลังเร่งติดตาม โดยต้องจับกุมตัวให้ได้และขึ้นรูปทั่วทั้งประเทศ
ด้าน นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค มีผู้สัมผัสเสี่ยงสูงผู้ป่วยรายดังกล่าวจำนวน 2 ราย ซึ่งเป็นเพื่อนกัน แต่ยังไม่มีอาการป่วย ผลตรวจแล็บไม่พบโรคฝีดาษลิง แต่ต้องสังเกตอาการหรือกักตัวแล้วแต่กรณีอีก 21 วัน ตามความเห็นของคณะกรรมการโรคติดต่อ จ.ภูเก็ต
อย่างไรก็ตามยังคงมีการค้นหาผู้ป่วยเพิ่มเติม (Active Case Finding) ในจุดเสี่ยง เช่น สถานบันเทิง 2 แห่งที่ผู้ป่วยไปใช้บริการ พบ 6 รายมีอาการใกล้เคียง คือมีไข้ เจ็บคอ ซึ่งมีการส่งตรวจแล็บ 4 ราย ยังไม่พบการติดเชื้อ จึงต้องสังเกตอาการหรือกักตัวแล้วแต่กรณีอีก 21 วัน
นอกจากนี้จากรายงานการสอบสวนโรคผู้ป่วยชาวไนจีเรีย พบว่า สถานบันเทิง 2 แห่ง ที่ผู้ป่วยไปใช้บริการมีคนเข้าใช้บริการรวม 142 ราย นอกจากนั้น ยังมีการค้นหาผู้สัมผัสในโรงแรมที่พัก สถานบันเทิงแห่งอื่นเพิ่มเติม โดยผู้ป่วยมีตุ่มหนองบริเวณอวัยวะเพศ ใบหน้า ลำตัว แขน ขา เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2565
ส่วนฝากฝั่ง นพ.กู้ศักดิ์ กู้เกียรติกูล นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดภูเก็ต (สสจ.ภูเก็ต) เผยกรณีผู้ป่วยโรค “ฝีดาษลิง” หรือ ฝีดาษวานร ระบุว่า กรณีตรวจพบผู้ป่วยดังกล่าวขออย่าตื่นตระหนก เพราะการติดต่อยาก เหมือนกับการเป็นอีสุกอีใส หากจะติดต่อได้จะต้องเป็นลักษณะของเนื้อแนบเนื้อ
โดยคนที่เป็นจะต้องเป็นตุ่มหนองอยู่ด้วย หรือมีการไอ จามใส่หน้า ซึ่งต้องเป็นละอองขนาดใหญ่ โดยจะแพร่เชื้อในช่วงที่มีแผล แต่หากแผลแห้งแล้วจะไม่ติดต่อ
สำหรับเบื้องต้นจากการสอบสวนโรคมีกลุ่มสัมผัสเสี่ยงสูงที่เฝ้าระวัง และได้ทำการเจาะเลือดเพื่อหาเชื้อแล้ว 6-7 ราย นอกจากนี้ทาง จ.ภูเก็ต และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะมีการแถลงข่าวรายละเอียดความคืบหน้าการสอบสวนโรค ตลอดจนมาตรการเฝ้าระวัง ป้องกันควบคุมโรค คัดกรองและคัดแยกผู้ป่วยทั้งหมดอีกครั้งในช่วงก่อนเที่ยงวันนี้ต่อไป