“สยามพิวรรธน์” เคาะดอกเบี้ยหุ้นกู้ชั่วนิรันดร์ 5 ปีแรก 5.5% ขาย 4-5, 8-9 ส.ค.นี้
“สยามพิวรรธน์” เคาะดอกเบี้ยหุ้นกู้ชั่วนิรันดร์ 5 ปีแรก 5.5% ต่อปี จ่ายดอกเบี้ยทุก 3 เดือน เสนอขายให้แก่ผู้ลงทุนสถาบันและผู้ลงทุนรายใหญ่กลุ่ม High Net Worth วันที่ 4-5, 8-9 ส.ค.นี้ ระดมทุนชำระค่าสิทธิเช่าที่ดิน ปรับปรุงศูนย์การค้า ขยายธุรกิจสู่ New Economy
บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์และค้าปลีกชั้นนำ เปิดเผยว่า บริษัทตัดสินใจเสนอขาย Perpetual Bond ซึ่งเป็นหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุน ไถ่ถอนเมื่อเลิกบริษัท ซึ่งผู้ออกหุ้นกู้มีสิทธิไถ่ถอนหุ้นกู้ก่อนกำหนด และมีสิทธิเลื่อนชำระดอกเบี้ยโดยไม่มีเงื่อนไขใดๆ ให้กับผู้ลงทุนสถาบันและผู้ลงทุนรายใหญ่ เหตุผลที่บริษัทเลือกหุ้นกู้ดังกล่าว เนื่องจาก 1) เป็นหุ้นกู้ชนิดที่บริษัทสามารถนับเป็นส่วนทุนได้ และ 2) มี Call option ซึ่งหมายถึง บริษัทมีสิทธิไถ่ถอนหุ้นกู้ได้เมื่อครบกำหนด 5 ปีเป็นต้นไป
ทั้งนี้เหตุผลดังกล่าวช่วยเพิ่มความคล่องตัวให้กับบริษัทเมื่อบริษัทจัดอันดับเครดิตจะไม่นับ Perpetual Bond นี้เป็นส่วนทุนเมื่อสิ้นปีที่ 5 บริษัทเห็นว่า การนำเสนอตราสารทางการเงินนี้ เป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ลงทุนสถาบันและผู้ลงทุนรายใหญ่ได้ลงทุนในตราสารคุณภาพผ่าน Perpetual Bond และเข้ามามีส่วนร่วมในความสำเร็จ ความแข็งแกร่งที่บริษัทซึ่งหมายถึงผู้ถือหุ้น ผู้บริหาร พนักงาน และหุ้นส่วนธุรกิจของเราได้ร่วมสร้างมาตลอด 63 ปี
โดยบริษัทฯ กำหนดอัตราดอกเบี้ยในช่วง 5 ปีแรกไว้ที่ 5.50% ต่อปี จ่ายดอกเบี้ยทุก ๆ 3 เดือนตลอดอายุหุ้นกู้ โดยจะเสนอขายแก่ผู้ลงทุนสถาบันและ/หรือผู้ลงทุนรายใหญ่ ระหว่างวันที่ 4-5 สิงหาคม และวันที่ 8-9 สิงหาคม 2565 จองซื้อขั้นต่ำ 1 ล้านบาท และทวีคูณของ 1 ล้านบาท
ทั้งนี้ “สยามพิวรรธน์” ได้รับการจัดอันดับเครดิตองค์กรที่ “A-” แนวโน้มอันดับเครดิต “คงที่” (Stable) ขณะที่หุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนนี้ ได้รับการจัดอันดับเครดิตที่ “BBB” แนวโน้มอันดับเครดิต “คงที่” (Stable) จากบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2565 ซึ่งเป็นเครดิตเรทติ้งระดับ Investment Grade สะท้อนความน่าเชื่อถือและความแข็งแกร่งของสยามพิวรรธน์ในทุกๆ ด้าน ทั้งด้านการเงิน การดำเนินธุรกิจ การมีทีมงาน ผู้บริหาร และพนักงานทุกคนที่ทุ่มเทอย่างไม่มีขีดจำกัด การนำเสนอวิสัยทัศน์ในการสร้างเอกลักษณ์ที่แตกต่าง เพื่อให้บริษัทเป็นที่หนึ่งในวงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์และค้าปลีกชั้นนำ เจ้าของและผู้บริหารโครงการที่มีชื่อเสียงระดับโลก ได้แก่ สยามพารากอน สยามเซ็นเตอร์ สยามดิสคัฟเวอรี่ และเป็นหนึ่งในพันธมิตรเจ้าของไอคอนสยาม และสยาม พรีเมี่ยม เอาท์เล็ต กรุงเทพ และทำให้บริษัทมีฐานลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูงทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ
ส่วนฐานะทางการเงินของสยามพิวรรธน์ บริษัทมีสภาพคล่องแข็งแกร่ง และเน้นหนักการรักษาวินัยทางการเงิน โดยมีระดับอัตราส่วนหนี้สินที่มีดอกเบี้ยต่อส่วนของผู้ถือหุ้นให้อยู่ในระดับเพียง 0.99 เท่า ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2564 (ตามงบการเงินตรวจสอบแล้วของกิจการ) บริษัทฯ มีความสามารถในการทำกำไรและรักษาสภาพคล่องได้เป็นอย่างดีในช่วงวิกฤติ ซึ่งแสดงถึงประสิทธิภาพในการบริหารอัตราการเช่าพื้นที่ได้ในระดับสูง การควบคุมต้นทุนอย่างเหมาะสม และการปรับตัวทางธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ
โดยวัตถุประสงค์ในการระดมทุนครั้งนี้ สยามพิวรรธน์มีแผนที่จะใช้ชำระค่าสิทธิการเช่าที่ดิน และใช้ปรับปรุงศูนย์การค้าทั้งหมด เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้ธุรกิจหลักตอบสนองต่อการใช้ชีวิตวิถีใหม่สู่อนาคต รวมทั้งขยายธุรกิจสู่ New Economy ในหลายประเภท ตลอดจนการสร้างดิจิทัลแพลตฟอร์มเชื่อมธุรกิจหลักเข้ากับธุรกิจใหม่ๆ ร่วมกับพันธมิตรใน Ecosystem นอกจากนี้ ด้วยความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ของสยามพิวรรธน์ในการบริหารธุรกิจศูนย์การค้า อาคารสำนักงาน และอาคารที่อยู่อาศัย จึงมีแผนจะขยายธุรกิจด้านการบริหารอสังหาริมทรัพย์เพิ่มเติมในอีก 1-3 ปีข้างหน้าอีกด้วย
ทั้งนี้หุ้นกู้ชั่วนิรันดร์ มีลักษณะอย่างหนึ่งที่คล้ายหุ้นบุริมสิทธิคือ เลื่อนจ่ายดอกเบี้ยได้ ดังนั้นผู้ลงทุนพิจารณาลงทุนในบริษัทที่มีความมั่นคง และความแข็งแกร่งทั้งผู้ถือหุ้น ฐานะการเงิน และความสามารถของทีมผู้บริหารของบริษัท เมื่อใดที่ผู้ลงทุนต้องการขายหุ้นกู้ดังกล่าว สามารถติดต่อธนาคาร และบริษัทหลักทรัพย์ได้ทุกแห่ง โดยราคาขายอาจจะทำให้ผู้ลงทุนกำไรหรือขาดทุน ทั้งนี้ ผู้ลงทุนสามารถอ้างอิงราคาตลาด (Mark to Market) จาก Website ของสมาคมตลาดตราสารหนี้ และควรแจ้งความจำนงในการขายล่วงหน้า เนื่องจากหุ้นกู้ทุกตัวจะต้องใช้ระยะเวลาในการขาย
ทั้งนี้ ผู้ลงทุนที่สนใจรายละเอียดหุ้นกู้ของสยามพิวรรธน์ สามารถขอข้อมูลเพิ่มเติม หรือติดต่อกับผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ ได้ดังนี้
- ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) โทร. 02-777-6784
- บริษัทหลักทรัพย์ ธนชาต จำกัด (มหาชน) โทร. 02-779-9000
- บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) โทร. 02-658-8951
- บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด โทร. 02-680-4004
- บริษัทหลักทรัพย์ ไอ วี โกลบอล จำกัด (มหาชน) โทร. 02-658-5788
สามารถศึกษารายละเอียดได้จากแบบแสดงรายการข้อมูลและร่างหนังสือชี้ชวนได้ที่ https://market.sec.or.th/public/idisc/th/Product/Filing/PL-0000007288/XX-XX-X-00000000-00000000-X
คำเตือน:
- หุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนฯ เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีความเสี่ยงสูงและซับซ้อนกว่าหุ้นกู้ปกติ โดยมีความเสี่ยงที่ระดับ 7 จากทั้งหมด 8 ระดับ
- ผู้ลงทุนจะไม่ได้รับชำระคืนเงินต้น เว้นแต่ผู้ออกตราสารหนี้จะเลิกกิจการ หรือมีการไถ่ถอนตราสารหนี้คืนก่อนกำหนด
- ผู้ออกหุ้นกู้มีสิทธิเลื่อนการชำระดอกเบี้ยพร้อมกับสะสมดอกเบี้ยจ่ายไปชำระในวันใดๆ ก็ได้ ให้แก่ผู้ถือหุ้นกู้โดยไม่จำกัดระยะเวลาและจำนวนครั้งตามดุลยพินิจของผู้ออกหุ้นกู้แต่เพียงผู้เดียว ซึ่งผู้ลงทุนอาจไม่ได้รับผลตอบแทน ตามที่คาดหวังและไม่มีสิทธิฟ้องร้อง
- ตราสารหนี้ด้อยสิทธิคล้ายทุนนี้ไม่มีเงื่อนไขการผิดนัดไขว้ (cross-default) ทำให้เมื่อผู้ออกตราสารหนี้ผิดนัดชำระหนี้เจ้าหนี้อื่นจะไม่ถือว่าผิดนัดชำระตราสารหนี้นี้ด้วย
- ตราสารหนี้ด้อยสิทธิคล้ายทุนนี้มีสภาพคล่องต่ำเมื่อเปลี่ยนมือในตลาดรอง ทำให้เมื่อผู้ลงทุนต้องการขาย ผู้ลงทุนอาจไม่สามารถขายได้ในราคาและ/หรือเวลาที่คาดหวัง
- ในกรณีที่บริษัทผู้ออกตราสารล้มละลาย หรือเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการ หรือเลิกกิจการ ผู้ลงทุน จะได้รับชำระหนี้ภายหลังเจ้าหนี้สามัญ เจ้าหนี้มีประกัน เป็นต้น
- ผู้ลงทุนควรทำความความเข้าใจลักษณะหุ้นกู้ เงื่อนไข ผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนการตัดสินใจลงทุน เอกสารฉบับนี้ไม่ใช่หนังสือชี้ชวนสำหรับการเสนอขายตราสารหนี้ แต่จัดทำขึ้นเพื่อเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับตราสารหนี้ เพื่อให้ผู้ลงทุนมีระยะเวลาพอสมควรในการศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับตราสารหนี้ดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน โดยข้อมูลที่ปรากฎในเอกสารฉบับนี้เป็นการสรุปบางส่วนจากข้อมูลที่ปรากฎในร่างหนังสือชี้ชวนที่ได้ยื่นต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งยังไม่มีผลบังคับใช้ตามกฎหมาย ดังนั้น ข้อมูลในการเอกสารฉบับนี้จึงอาจมีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงได้ ทั้งนี้ การเสนอขายตราสารหนี้จะกระทำได้ก็ต่อเมื่อแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายตราสารหนี้และร่างหนังสือชี้ชวนที่ได้ยื่นต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์มีผลบังคับใช้แล้ว และได้จัดส่งหรือแจกจ่ายหนังสือชี้ชวนให้แก่ผู้ลงทุนแล้ว