TLI อดเสียบ SET50 หลังหลุดจอง 15.90 บ. ฉุด “มาร์เก็ตแคป” ต่ำเกณฑ์

TLI หมดสิทธิ์เข้า SET50 หลังราคาหุ้นหลุดจอง 15.90 บาท จากไอพีโอ 16 บาท ฉุด “มาร์เก็ตแคป” ต่ำเกณฑ์ รอลุ้นเข้ารอบใหม่อีก 6 เดือน


ผู้สื่อข่าวรายงานรายว่า ความเคลื่อนไหวราคาหุ้น บริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) หรือ TLI ปิดเทรดวันแรก (25 ก.ค. 65) ที่ระดับ 15.90 บาท ลบไป 0.10 บาท หรือ 0.62% ทำจุดสูงสุดที่ระดับ 16.30 บาท ทำจุดต่ำสุดที่ระดับ 15.90 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 10,297.17 ล้านบาท โดยราคาปิดหลุดจองราคาไอพีโอที่ 16 บาทต่อหุ้น

ทั้งนี้ เมื่อนำมาคำนวณการเข้า SET50 แบบเกณฑ์ “Fasttrack” พบว่าอาจเป็นเรื่องยาก เนื่องจากราคาหุ้นที่ปิด 15.90 บาท เมื่อนำไปคำนวณหา “มาร์เก็ตแคป” ซึ่งคิดจากจำนวนหุ้นจดทะเบียนชำระแล้วทั้งหมดหลังขายไอพีโอเป็น 11,450 ล้านหุ้น พบว่ามีมาร์เก็ตแคป 182,055.00 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 0.97% ของมาร์เก็ตแคปรวมทั้งตลาดหลักทรัพย์ที่ 18,822,165.56 ล้านบาท ทำให้ไม่เข้าเกณฑ์ Fasttrack

อีกทั้ง TLI ยังอยู่ในอันดับ 23 ซึ่งไม่เข้าเกณฑ์หุ้นที่มีมูลค่ามาร์เก็ตแคปสูงสุดติด 20 อันดับแรกใน SET50 เพราะอันดับ 20 คือ CPF มาร์เก็ตแคป 217,433.87 ล้านบาท ต่อมาอันดับ 21 คือ PTTGC  มาร์เก็ตแคป 200,643.79 ล้านบาท และอันดับ 22 คือ GPSC มาร์เก็ตแคป 188,921.87 ล้านบาท

ดังนั้นหากดูข้อมูลเบื้องต้นทาง TLI ไม่มีโอกาสเข้า SET50 แบบ Fasttrack” ซึ่งต้องรอไปคำนวณในครึ่งหลังของปี 2566

สำหรับเกณฑ์การคำนวณดัชนีราคา SET50 และ SET100 นั้น จะเป็นหุ้นสามัญที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ไม่น้อยกว่า 6 เดือน และมีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดเฉลี่ยต่อวันย้อนหลัง 12 เดือนสูงสุด 200 อันดับแรก รวมทั้งมีสัดส่วนผู้ถือหุ้นรายย่อย (Free-float) ไม่น้อยกว่าร้อยละ 20

นอกจากนี้ ยังต้องเป็นหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าซื้อขายสม่ำเสมอ โดยมีมูลค่าการซื้อขายบนกระดานหลักสูงกว่าร้อยละ 50 ของมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อหุ้นของหลักทรัพย์ประเภทหุ้นสามัญทั้งตลาดในเดือนเดียวกัน โดยมูลค่าการซื้อขายหลักทรัพย์ต้องต่อเนื่องเป็นเวลาไม่ต่ำกว่า 9 ใน 12 เดือน และต้องไม่เป็นหลักทรัพย์ที่เข้าเกณฑ์อาจถูกเพิกถอนตามข้อกำหนดของตลาดหลักทรัพย์ฯ ไม่เป็นหลักทรัพย์ที่จะเพิกถอนตัวเองออกในระยะเวลาอันใกล้

รวมทั้ง ต้องไม่อยู่ในระหว่างการห้ามซื้อขายเป็นเวลานาน และไม่เป็นหลักทรัพย์ที่มีแนวโน้มที่จะถูกพักการซื้อขายเป็นระยะเวลานานด้วย

อย่างไรก็ตามบริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จำกัด ระบุในบทวิเคราะห์ ว่า TLI เป็นบริษัทประกันชีวิตชั้นนำของประเทศไทยพร้อมด้วยช่องทางตัวแทนประกันที่มีประสิทธิภาพ คาดว่า TLI จะมีกำไรและ 1-year VNB ที่เต็มโตดีในปี 2565-2567 โดยได้รับการสนับสนุนรายใหม่ 1) เบี้ยประกันภัยรับรายใหม่ที่ฟื้นตัวดีขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลิตภัณฑ์ที่ให้อัตรากำไรสูง เช่น ประกันสุขภาพ 2) อัตราส่วนต้นทุนต่อรายได้ประกันรับสุทธิที่ค่อยๆ ปรับตัวลดลง และ 3) ROI ที่ยั่งยืน เพราะอัตราผลตอบแทนจากเงินลงทุนทำจุดต่ำสุดไปแล้ว โดยประเมินเหมาะสมของ TLI ได้ที่ 2.04 – 2.11 แสนล้านบาท โดยอิงกับมูลค่าก่อนการระดมทุน

ทั้งนี้ บริษัทประกันชีวิตชั้นนำพร้อมด้วยช่องทางตัวแทนประกันที่มีประสิทธิภาพ TLI เป็นบริษัทประกันชีวิตชั้นนำที่มีส่วนแบ่งการตลาดสูงสุดเป็นอันดับ 2 ที่ประมาณ 15% เมื่อพิจารณาจากเบี้ยประกันภัยรับรวมทั้งหมดในปี 2562-2564

โดยคาดว่าอัตราส่วนต้นทุนต่อรายได้ประกันรับสุทธิของ TLI ในปี 2565 จะอยู่ที่ 108.3% และในปี 2566 อยู่ที่ 108.1% และในปี 2567 อยู่ที่ 107.9% ซึ่งคาดว่าอัตรากำไรจากเบี้ยประกันภัยรับใหม่จะเพิ่มขึ้นอันเป็นผลมาจากการมีสัดส่วนเบี้ยประกันภัยรับใหม่จากผลิตภัณฑ์ที่ให้อัตรากำไรสูงเพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะค่อยๆ หนุนให้อัตรากำไรสุทธิจากการรับประกันภัยปรับเพิ่มขึ้น

อย่างไรก็ดี TLI จะได้รับประโยชน์จากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่เพิ่มขึ้น อัตราผลตอบแทนจากการนำเงินไปลงทุนต่อในขณะนี้ใกล้เคียงกับอัตราผลตอบแทนจากเงินลงทุนในพันธบัตรที่กำลังจะครบกำหนดไถ่ถอน โดยคาดว่าอัตราผลตอบแทนจากเงินลงทุนจะอยู่ในระดับทรงตัวในปี 2565 ที่ 3.5% จากนั้นจะเพิ่มขึ้นในปี 2566 อยู่ที่ 3.55% และในปี 2567 อยู่ที่ 3.6% คาดว่า ROI จะอยู่ในระดับที่ค่อนข้างทรงตัวในปี 2565-2567 โดยใช้สมมติฐานกำไรจากเงินลงทุนในระดับทรงตัวที่ 2.7 พันล้านบาท

ทั้งนี้คาดว่ากำไรในปี 2565 จะเติบโตอย่างแข็งแกร่งที่ 24% หลักๆ เป็นเพราะไม่มีการรับรู้ผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นเหมือนในปีก่อนและรายได้จากการลงทุนเพิ่มขึ้น หลังจากนั้นคาดว่ากำไรจะเติบโตปานกลางที่ 13% และ 11% โดยได้แรงหนุนส่วนใหญ่จากรายได้จากการลงทุนที่สูงขึ้นและรายได้จากการรับประกันภัยสุทธิที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น

Back to top button