“บล.ไทยพาณิชย์” ล็อกเป้าลงทุน 7 หุ้น ลุ้นไตรมาส 2 กำไรแกร่ง
“บล.ไทยพาณิชย์” ชี้ SET มีโอกาสอ่อนตัวจากแรงขายลดความเสี่ยงก่อนการประชุมเฟด และมองเงินเฟ้อสูงขึ้นส่งผลกระทบเชิงลบต่อกำลังซื้อ จึงแนะนำ 7 หุ้นเด่น ได้แก่ BCP, AWC, ERW, IVL, KCE, DELTA, MTC คาดงบไตรมาส 2/65 ออกมาดี มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า (26 ก.ค. 65) ดัชนีตลาดหุ้นไทย ณ เวลา 11: 43 น. ปรับตัวลงมาอยู่ที่ 1,556.50 จุด ลบไป 3.81 จุด ซึ่งเป็นผลจากนักลงทุนชะลอการลงทุนอยู่ในช่วงรอผลประชุมเฟดในวันที่ 26-27 ก.ค. 65 ว่าจะมีการขึ้นดอกเบี้ย 0.75% ตามที่หลายฝ่ายคาดการณ์ไว้หรือไม่ ประกอบกับใกล้วันหยุดยาว
ทั้งนี้ในช่วงดังกล่าวของ SET ที่ปรับตัวลงสอดคล้องตามด้าน บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จำกัด ระบุในบทวิเคราะห์ไว้วันนี้ คาด SET มีโอกาสอ่อนตัวจากแรงขายเพื่อลดความเสี่ยงก่อนการประชุมเฟด 26-27 ก.ค.65 และรายงาน GDP สหรัฐในไตรมาส 2/65 ในวันที่ 28 ก.ค.65 ซึ่งช่วงเวลาดังกล่าว SET ปิดทำการในช่วง Long Weekend ด้านกรอบบนอยู่ที่แนวต้าน 1565-1570 จุด ซึ่งมองอัพไซด์เริ่มจำกัดในระยะสั้น และด้านกรอบล่างอยู่ที่แนวรับ 1535-1545 จุด
โดยทางฝ่ายวิจัยมองช่วงสั้นยังยากที่จะคาดหวังการฟื้นตัวแรงของตลาดหุ้นไทย เนื่องจากภาพใหญ่เศรษฐกิจทั่วโลกยังกดดันและคาดเริ่มเห็นเงินเฟ้อที่สูงขึ้นส่งผลกระทบเชิงลบต่อกำลังซื้อ อีกทั้งสัปดาห์นี้ยังมีความเสี่ยงที่ต้องจับตา ได้แก่ ท่าทีของเฟดจากการประชุมนโยบายการเงิน (28 ก.ค. 65) และยังคงมีท่าทีของรัฐบาลจีนต่อการควบคุมโควิด-19 หลังตัวเลขผู้ป่วยเพิ่มขึ้น ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำ “Selective Buy” ในหุ้นคุณภาพที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว และโมเมนตัมกำไรดี
ด้านมุมมองการลงทุนยังเป็นไปอย่างระมัดระวังและเลือกกลุ่มลงทุนโดยแนะนำหุ้นที่โมเมนตัมกำไรดี และคาดประกาศผลการดำเนินงานไตรมาส 2/65 ออกมาดี หลังตลาดกำลังเข้าสู่ช่วงทยอยประกาศงบ ดังนี้
1) หุ้นที่พรีวิวมีโอกาสออกมาดีและมีแนวโน้มปรับเพิ่มประมาณการกำไรหลังประกาศงบไตรมาส 2/65 แนะนำเลือก BCP, AWC, ERW
2) หุ้นที่คาดผลดำเนินงานผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วและกำไรมีโมเมนตัมดีขึ้นตั้งแต่ไตรมาส 2/65 รวมทั้ง Valuation ไม่แพง แนะนำเลือก IVL, KCE, DELTA, MTC
นอกจากนี้ ช่วงสั้นแนะนำให้หลีกเลี่ยงหรือเพิ่มความระมัดระวังการลงทุน
1) หุ้นสินค้าโภคภัณฑ์อาทิ กลุ่มปาล์ม ได้แก่ UVAN, UPOIC, VPO, CPI และกลุ่มแป้งสาลีรวมถึงแป้งมันสำปะหลัง ได้แก่ UBE, TMILL, TWPC หลังราคาปาล์มและข้าวสาลียังอยู่ในทิศทางขาลงจากปัญหาอุปทานขาดแคลนคลี่คลายลง หลังผลผลิตปาล์มของอินโดนีเซียและมาเลเซียออกสู่ตลาดมากขึ้น และล่าสุดยูเครน-รัสเซียทำข้อตกลงส่งออกธัญพืชสำเร็จ
2) หุ้นที่คาดได้ผลกระทบทางอ้อมจากความกังวลความเสี่ยงด้านนโยบายของประเทศคู่ค้าอย่างเมียนมาที่มีเพิ่มขึ้น ได้แก่ CBG, OSP
3) หุ้นที่มีโอกาสสูงจะโดนตลาดปรับลดประมาณการ อาทิ ASP, MST, NRF, OSP, DTAC