จับตากำไร CRC ไตรมาส 2 ทะลุ 2 พันล้าน รับรายได้สินค้าแฟชั่นหนุน โบรกอัพเป้า 45 บ.

“ฟินันเซีย ไซรัส” คาดกำไร CRC ไตรมาส 2 แตะ 2.2 พันล้าน อานิสงส์รายได้สินค้าแฟชั่นหนุน จากปริมาณลูกค้าและตัวเลขนักท่องเที่ยวที่สูงขึ้น แนะนำ “ซื้อ” เป้าใหม่ 45 บ.


บริษัทหลักทรัพย์ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์โดยประเมิน บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ CRC ว่า ตั้งแต่ประสบปัญหาจากโควิดในช่วงปี 63-64 บริษัทฯ ได้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงความแข็งแกร่งของรูปแบบธุรกิจและการควบคุมต้นทุนของบริษัทฯ โดยปรับตัวเองไม่เพียงเพื่อให้รอดแต่ยังเตรียมพร้อมสำหรับการฟื้นตัวของความต้องการหลังการกลับมาเปิดเศรษฐกิจอย่างเต็มรูปแบบทั้งในประเทศไทยและทั่วโลก โดยในปี 65 ทางฝ่ายวิจัยคาดว่ากำไรสุทธิจะแตะ 5.60 พันล้านบาท และโตต่อเนื่องเป็น 7.60 พันล้านบาท ในปี 66 ซึ่งสูงกว่าระดับก่อนโควิดที่ 7.40 พันล้านบาท ในปี 62 ส่วนในปี 67 คาดว่ากำไรสุทธิของบริษัทฯ จะโตในระดับสูงถึง 44.80% จากงวดเดียวกันของปีก่อน ไปแตะ 1.10 หมื่นล้านบาท ซึ่งสูงกว่ากำไรสูงสุดที่ 8.50 พันล้านบาทในปี 61

สำหรับกำไรสุทธิไตรมาส 2/65 คาดจะอยู่ที่ 2.20 พันล้านบาท เพิ่มจาก 1.20 พันล้านบาท ในไตรมาส 1/65 โดยปัจจัยหนุนสำคัญน่าจะอยู่ที่รายได้ที่สูงขึ้นจากกลุ่มแฟชั่นที่มีอัตรากำไรสูง ซึ่งทางฝ่ายวิจัยคาดว่าจะโต 19% จากงวดเดียวกันของปีก่อน ในไตรมาส 2/65 จากปริมาณลูกค้าและตัวเลขนักท่องเที่ยวที่สูงขึ้น โดยดาดว่ารายได้จากธุรกิจค้าปลีกจะปรับขึ้นต่อเนื่องในปี 65-66 จากความต้องการที่อั้นอยู่เป็นจำนวนมากหลังโรคระบาดโควิด และอำนาจการจับจ่ายใช้สอยที่เพิ่มขึ้นซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อกลุ่มค้าปลีกของบริษัทฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสินค้าแฟชั่นและอาหาร

นอกจากการเติบโตอย่างสม่ำเสมอของบริษัทฯ ในตลาดค้าปลีกและอสังหาริมทรัพย์ของไทยแล้ว เวียดนามกำลังจะกลายเป็นธุรกิจที่โตเร็วที่สุดของบริษัทฯ ตั้งแต่ปี 65 เป็นต้นไปจากความต้องการที่อั้นอยู่ในประเทศหลังมาตรการปิดเมือง, ความต้องการที่มาพร้อมกับตัวเลขประชากร และอำนาจในการจับจ่ายใช้สอยที่สูงขึ้น รวมถึงการพัฒนาประเทศอย่างรวดเร็วในกลุ่มอุตสาหกรรมในอิตาลี ซึ่งบริษัทฯ น่าจะรายงานรายได้โตในปี 65-66 และคาดว่ารายได้รายไตรมาสในอิตาลีสูงเกิน 3 พันล้านบาท ภายในปี 66 เมื่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยวกลับสู่ระดับปกติหลังโรคโควิดระบาดเป็นเวลานานถึง 2 ปี

อย่างไรก็ดีทางฝ่ายวิจัยคงแนะนำ “ซื้อ” หลังปรับเพิ่มราคาเป้าหมายจาก 43 เป็น 45 บาท เพื่อสะท้อนการปรับเพิ่มประมาณการกำไรต่อหุ้นของทางฝ่ายวิจัย อีกทั้งได้ปรับเพิ่ม WACC เป็น 8.20% จาก 7.60% เนื่องจากได้ปรับเพิ่มต้นทุนในการกู้ยืมจาก 3% เป็น 4% และ Risk premium จาก 8% เป็น 8.50% เพื่อสะท้อนมุมมองมหภาคที่ระมัดระวังมากยิ่งขึ้นของทางฝ่ายวิจัย

ทั้งนี้ทางฝ่ายวิจัยได้ปรับเพิ่มประมาณการกำไรต่อหุ้นในปี 65-67 อีก 13.30-36.50% เพื่อสะท้อน (1) ประมาณการรายได้ที่สูงขึ้นจากสมมติฐานการเติบโตของยอดขายจากสาขาเดิมที่สูงขึ้นในธุรกิจค้าปลีก, (2) สมมติฐานอัตรากำไรขั้นต้นที่สูงขึ้นอีก 1.20-1.80% และ (3) สัดส่วนค่าใช้จ่ายการขายและการบริหารต่อยอดขายที่ลดลงเหลือ 27-28.50% เพื่อสะท้อนการประหยัดต้นทุนบางส่วน

Back to top button