โบรกเชียร์ “ซื้อ” OR เป้า 32 บ. ชี้กำไรไตรมาส 2 โต 47% เฉียด 5 พันลบ.
“ฟินันเซีย ไซรัส” คาดกำไรไตรมาส 2 ของ OR แตะ 4.70 พันลบ. โต 47% จากค่าการตลาดที่ปรับขึ้นและปริมาณขายที่อยู่ในระดับสูงทั้งในธุรกิจน้ำมันและธุรกิจนอนออยล์
บริษัทหลักทรัพย์ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์โดยประเมิน บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR ว่า คาดกำไรสุทธิไตรมาส 2/65 จะอยู่ในระดับสูงถึง 4.70 พันล้านบาท เติบโต 23% จากไตรมาสก่อน และเติบโต 47% จากงวดเดียวกันของปีก่อน ส่วนกำไรปกติคาดจอยู่ที่ 3.80 พันล้านบาท ทรงตัวจากไตรมาสก่อน แต่เติบโต 219% จากงวดเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้ปัจจัยหนุนสำคัญนำจะอยู่ที่ค่าการตลาดของสถานีบริการน้ำมันปลีก, ปริมาณขายที่เพิ่มขึ้น 29 จากงวดเดียวกันของปีก่อน ทั้งในธุรกิจน้ำมันและไม่ใช่น้ำมันและปริมาณขายที่อยู่ในระดับสูงของ Cafe Amazon ซึ่งอาจทำสถิติสูงเป็นประวัติการณ์ถึง 91 ล้านแก้วในไตรมาส 2/65
สำหรับในไตรมาส 2/65 ทางฝ่ายวิจัยคาดว่าธุรกิจน้ำมันจะรายงานรายได้ 1.70 แสนล้านบาท เติบโต 3% จากไตรมาสก่อน และเติบโต 55% จากงวดเดียวกันของปีก่อน จากปริมาณขายที่เพิ่มขึ้น 2% จากงวดเดียวกันของปีก่อน ของสถานีบริการน้ำมันปลีกส่วนมากมาจากความต้องการเดินทางที่อยู่ในระดับสูงและปริมาณขายที่โต 2% จากงวดเดียวกันของปีก่อน ในตลาดการค้าส่วนมากมาจากปริมาณขายน้ำมันอากาศยานที่เพิ่มขึ้น ในขณะที่ความต้องการเดินทางฟื้นตัวกลับในประเทศไทยและทวีปเอเชีย
ส่วนอัตรากำไรน่าจะปรับตัวดีขึ้นในผลิตภัณฑ์น้ำมันอากาศยาน เนื่องจากราคาขายน้ำมันอากาศยานจะตามหลังต้นทุน 30 วัน ซึ่งจะทำให้อัตรากำไรในกลุ่มการค้าปรับตัวดีขึ้น น่าจะปรับเพิ่มเป็น 1.48 บาท/ลิตร เพิ่มขึ้น 30% จากไตรมาสก่อน เนื่องจากรัฐบาลได้ยกเพดานราดาน้ำมันดีเซลขึ้นเป็น 35 บาท/ลิตร ในระหว่างไตรมาสบริษัทฯ เพิ่มสถานีใหม่ 15 แห่งและสถานีชาร์จสำหรับยานยนต์ไฟฟ้า (EV) 13 แห่ง นอกจากนี้ปริมาณขายน้ำมันต่อสถานียังได้ฟื้นตัวสู่ระดับก่อนโควิดที่ 1.60ล้านลิตรต่อสถานี
ด้าน Cafe Amazon น่าจะรายงานการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญในแง่จำนวนแก้วที่ขายได้ โดยทางฝ่ายวิจัยคาดว่าจะเพิ่มเป็น 91ล้านแก้ว เติบโต 10% จากไตรมาสก่อน และเติบโต 30% จากงวดเดียวกันของปีก่อน ซึ่งนำจะทำสถิติสูงเป็นประวัติการณ์จาก (1) ร้านใหม่ 43 ร้านในประเทศไทยและอีก 6 ร้านในตลาด CLMV ส่วนมากในกัมพูชา และ (2) EBITDA margin ที่ทรงตัวจากไตรมาสก่อน ที่ 28.50% ในธุรกิจที่ไม่ใช่น้ำมันเนื่องจากประโยชน์ของปริมาณขายที่สูงขึ้นน่าจะชดเชยกับตันทุนวัตถุดิบที่ปรับขึ้น ซึ่งคาดว่า EBITDA ของธุรกิจที่ไม่ใช่น้ำมันจะปรับขึ้นเป็น 21.7% ของ EBITDA รวมในไตรมาส 2/65 เพิ่มจาก 20.70% ในไตรมาส 1/65 และ 20.3% ในไตรมาส 2/64
อย่างไรก็ดียังคงแนะนำ “ซื้อ” ที่ราคาเป้าหมาย 32 บาท (SOTP) ซึ่งคิดว่ากำไรสุทธิรายไตรมาสที่ดีขึ้นติดต่อกันของบริษัทฯ ที่ทางฝ่ายวิจัยคาดไว้ในไตรมาส 2/4-65 น่าจะเป็นปัจจัยบวกสำคัญที่ทำให้ราดาหุ้นปรับขึ้น โดยกลุ่มน้ำมันน่าจะรายงานกำไรฟื้นตัวส่วนมากมาจากการฟื้นตัวของความต้องการน้ำมันอากาศยานและ MM ที่อยู่ในระดับสูงพร้อม EBITDA ที่ปรับขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในธุรกิจที่ไม่ใช่น้ำมัน ส่วนมากมาจาก Cafe Amazon และประโยชน์จากยุทธ์ศาสตร์เพื่อการเติบโตของบริษัทฯ ผ่านการซื้อและควบรวมกิจการ