“ชัยยศ” แนะเกาะติด “เพโลซี” เยือนไต้หวัน คาด “ไม่รุนแรง” กระทบตลาดจำกัด
นักวิเคราะห์ บล.กรุงศรี วิเคราะห์ “เพโลซี” เยือนไต้หวันยังไม่มีความรุนแรง แต่ยังต้องติดตามใกล้ชิด เพราะอาจมีผลต่อตลาด พร้อมแนะ CBG น่าลงทุนหลังต้นทุนการผลิตลดลง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายชัยยศ จิวางกูร ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) วิเคราะห์การเยือนไต้หวันของนางแนนซี เพโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ผ่าน “รายการข่าวหุ้นเจาะตลาด” ว่า เป็นประเด็นหนึ่งที่นักลงทุนต้องติดตาม แต่เชื่อว่าสถานการณ์ความรุนแรง อาจยังไม่เกิดขึ้นในเร็ววัน การเดินทางมาของประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ เป็นไปในท่าทีในการเยือนเท่านั้น คงไม่มีเหตุความรุนแรงอย่างแน่นอน รวมถึงการตอบโต้จากจีนในลักษณะความรุนแรง แต่ยอมรับว่า ข่าวดังกล่าวมีผลต่อตลาดทุนในระยะต่อไป
ขณะที่ภาครวมของตลาดเอเชียในเช้าวันนี้ นายชัยยศ ประเมินว่า ภาพตลาดเอเชียที่เปิดบวกเช้านี้น่าจะเป็นภาพของการรีบาวด์ หลังจากที่เมื่อวานนี้ปรับตัวลงมาค่อยข้างแรง หลายตลาดของเอเชียลงมาเกือบ 2% ขณะเดียวกันก็ยังไม่มีปัจจัยใหม่เข้ามาสนับสนุนที่จะทำให้ตลาดปรับตัวเพิ่มมากขึ้น เพราะฉะนั้นตลาดหุ้นไทยในวันนี้ น่าจะเคลื่อนไหวในลักษณะแกว่งตัว โดยแนวต้านที่ 1,600 จุด ยังเป็นแนวต้านที่ยังมีนัยยะสำคัญ โดยกรอบของตลาดหุ้นไทยในระหว่างวัน บวก/ลบ 10 จุด
โดยหุ้นที่มีความน่าสนใจในการลงทุน เช่น บริษัท คาราบาวกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ CBG แม้งบว่างบการเงินไตรมาส 2/65 จะหดตัวลงเล็กน้อย แต่เชื่อว่าวัตถุดิบอย่างอะลูมิเนียมที่ปรับราคาลงมาในช่วงนี้ ทำให้ต้นทุนของ CBG ปรับลดลง ส่วนความกังวลกิจการในเมียนมาไม่ส่งผลต่อ CBG ซึ่งจะทำให้งบการเงินในช่วงไตรมาส 3/65 พลิกกลับมาดีขึ้น หากราคาหุ้น CBG ย่อตัวลงมาน่าจะเป็นจังหวะในการเข้าซื้อสะสมติดไว้ในพอร์ต โดยให้ราคาเป้าหมาย 130 บาท/หุ้น ส่วนความกังวลกิจการในเมียนมาไม่ส่งผลต่อ CBG
นอกจากนี้หุ้นอีกตัวที่มีความโดดเด่นในช่วงไตรมาส 2/65 นั้นคือ บริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส จำกัด (มหาชน) หรือ IVL ซึ่งคาดว่าจะมีกำไรประมาณ 10,000 ล้านบาท โดยเป็นผลจากการส่งออกที่ได้รับผลตอบรับดีจากตลาดสหรัฐ และยุโรป ซึ่งกำไรดังกล่าวอาจส่งผลให้ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นได้ในช่วงถัดไป โดยให้ราคาเป้าหมาย 55 บาท/หุ้น
อย่างไรก็ตาม นายชัยยศ มองปรากฎการณ์ที่หุ้น DELTA มีผลต่อการปรับขึ้นลงของตลาดหุ้นว่า สะท้อนถึงความอ่อนแอของตลาด เพราะหุ้นเพียงตัวเดียวสามารถกำหนดการขึ้นลงของตลาด ซึ่งหมายความว่านักลงทุนต้องการลงทุนในตัวหุ้นมากกว่าลงทุนในตลาด