BGRIM ตีปีก! โบรกชูท็อปพิก รับอานิสงส์ “กกพ.” ปรับขึ้นค่า ft

โบรกชู BGRIM ท็อปพิก จับตา “กพพ.” ปรับขึ้นค่า ft หลังจากขาดทุนกว่า 1 แสนล้านบาทในช่วงเกิดระบาดของโควิด-19 คาดว่าจะปรับขึ้นค่า ft ต่อเนื่องในปี 66 รวมถึงกลุ่ม SPP ได้รับประโยชน์จากราคาขายไฟเพิ่ม


นายสุวัฒน์ สินสาฎก กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ที่ปรึกษาการลงทุน เอฟเอสเอส อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด หรือ FSSIA ระบุในบทวิเคราะห์ โดยยังเชื่อว่า สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน หรือ กกพ. จำเป็นที่จะต้องขึ้นค่า Ft อีก และอาจมีอีกหลายครั้งในปี 2566 เพื่อให้เหมาะสมกับต้นทุนก๊าซที่เพิ่มขึ้น 70% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่เทียบกับค่าไฟ 4.7 บาท/kWh เพิ่มขึ้น 35% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน

โดยสาเหตุที่ต้องขึ้นค่าไฟนั้นมาจากการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยที่อุ้มค่าไฟให้จนขาดทุนกว่า 1 แสนล้านบาท ในช่วงเกิดระบาดของโควิด-19 ซึ่งอาจนำไปสู่ความล้มเหลวทางการเงินของรัฐวิสาหกิจได้ หากกกพ.ยังคงรักษาค่า Ft คงที่ในขณะที่ต้นทุนก๊าซยังเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง และยังไม่รวมเงินอุดหนุนต้นทุนก๊าซกว่า 9 เดือนไตรมาส 4/2564 – ครึ่งแรกปี 2565

ขณะที่ทั่วโลกกำลังเผชิญกับราคาก๊าซที่สูงขึ้น ประเทศไทยยังประสบปัญหาอุปทานก๊าซที่แย่ยิ่งกว่าเดิมหลังจากแหล่งก๊าซเอราวัณผลิตก๊าซได้น้อยกว่าคาด รวมไปถึงสถานการณ์ล่าสุดที่ท่อส่งก๊าซจากเมียนมาสู่ประเทศไทยรั่วไหล

ทั้งนี้ FSSIA มองว่าปริมาณนำเข้า Spot LNG จะต่ำกว่าที่กกพ.คาดไว้ในครึ่งหลังปี 2565 โดยจะอยู่ที่ 1.0mt ต่อไตรมาส หรือ 0.3mt ต่อเดือน และในปี 2566 อยู่ที่ 1.5mt ต่อไตรมาส หรือ 0.5mt ต่อเดือน อ้างอิงจากการผลิตไฟฟ้าที่สูงขึ้นจากไฟฟ้าพลังงานน้ำในประเทศลาว ซึ่งสามารถใช้ทดแทนการใช้ไฟฟ้าได้ถึง 15-20% ในโรงไฟฟ้า LNG-based ของประเทศไทย รวมไปถึงการเปลี่ยนการผลิตไฟฟ้าโดยใช้เชื้อเพลิงอื่นๆ รวมถึงน้ำมันเตาที่มีกำมะถันสูง (HSFO) ดีเซล และถ่านหิน

อีกทั้งฝ่ายวิเคราะห์มองว่าจะเป็นการดาวน์ไซด์ต่อราคาต้นทุนที่สูงขึ้นจากการนำเข้า และราคา Spot LNG ที่สูงนั้นยังต่ำเมื่อเทียบกับราคาเนื้อก๊าซในไทย และน่าจะช่วยให้มาร์จิ้นของ SPP สามารถฟื้นตัวได้ ส่วนการขาดทุนของกฟผ.ก็จะได้รับการชดเชย

สำหรับ บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM โดยทางฝ่ายวิจัย ประเมินเป็นหุ้นท็อปพิกในกลุ่ม SPP คาดว่าอัตราค่า Ft และราคาขายที่สูงขึ้นไปยังลูกค้าในเขตอุตสาหกรรมสำหรับ SPP และราคาเนื้อก๊าซที่เพิ่มขึ้นจากการที่บริษัทแทบจะไม่มีความจำเป็นที่จะต้องนำเข้า LNG อันเป็นผลจากการการผลิตไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำ และ HSFO โดยให้คำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 44 บาท

ทั้งนี้ บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA โดยทางฝ่ายวิจัยคาดว่ากำไรสุทธิในไตรมาสที่ 2/2565 เพิ่มขึ้นจากระดับ 1.5-2.0 พันล้านบาท เป็น 2-3 พันล้านบาท ผลักดันโดย 1) กำไรที่จะได้จากธุรกิจ EV และส่วนแบ่งกำไรจากการถือหุ้น 40% ใน บริษัท เน็กซ์ พอยท์ จำกัด (มหาชน) หรือ NEX และ 2) กำไรสุทธิที่สูงขึ้นจากอัตรารับซื้อไฟฟ้าที่สูงขึ้นของโซลาร์ฟาร์ม และวินด์ฟาร์ม ให้คำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 101 บาท

บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF ทางฝ่ายวิจัยระบุว่าถึงแม้ฝ่ายวิเคราะห์จะชอบ SPP มากกว่า IPP แต่ GULF ยังเป็นหุ้นเติบโต เนื่องจากยังมีการขยายกำลังการผลิตทั้งในประเทศไทย และต่างประเทศ นอกจากนั้นแล้วยังมีการขยายตัวในแนวดิ่งของ GULF ของพอร์ตไฟฟ้า และโครงสร้างพื้นฐานที่มีอยู่ในโทรคมนาคม และ อุตสาหกรรม 4.0 ให้คำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 60 บาท

บริษัท กันกุลเอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ GUNKUL ทางฝ่ายวิจัยระบุว่าการเติบโตของกำไรจะเป็นไปอย่างก้าวกระโดดตั้งแต่ครึ่งหลังของปี 2565 เป็นต้นไป จาก 1) ธุรกิจปลูก สกัด และผลิตภัณฑ์กัญชงกัญชา 2) รายได้สูงขึ้นจากอัตรารับซื้อไฟฟ้าจาก JV กับ GULF ในการประมูลพัฒนาวินด์ฟาร์ม 1.2-2.0GW ในไทยให้คำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 6.6 บาท

Back to top button