SABUY วิ่ง 7% หลังอวดงบ Q2 โต 6 เท่า เกินคาด บุ๊กกำไรเงินลงทุน-รายได้ขายเพิ่ม

SABUY วิ่ง 7% หลังอวดงบไตรมาส 2/65 ดีกว่าคาด โต 657% แตะ 356 ล้านบาท รับรู้กำไรลงทุน และรับรู้รายได้ของธุรกิจ Drop-off ดันครึ่งปีแรก มีกำไรแตะ 463 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 473%


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ราคาหุ้น บริษัท สบาย เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ SABUY ณ เวลา 10:00 น. อยู่ที่ระดับ 21.50 บาท บวก 1.30 บาท สูงสุดที่ระดับ 21.70 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 20.90 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 239.61 ล้านบาท โดยราคาหุ้น SABUY ปรับตัวขึ้น หลังรายงานผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 2 ปี 2565 และงวด 6 เดือนแรกของปี 2565 มีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นกว่า 6 เท่าตัว ดังนี้

สำหรับงวดไตรมาส 2 ปี 2565 สิ้นสุด ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2565 มีกำไรสุทธิส่วนของบริษัทเท่ากับ 356.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ 309.2 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 656.6 และ เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมากำไรสุทธิส่วนของบริษัท เพิ่มขึ้น 249.0 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 232.1 ซึ่งสาเหตุหลักมาจากการรับรู้กำไรจากการลงทุนใน บริษัท เธียรสุรัตน์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นธุรกิจ จำหน่ายเครื่องกรองน้ำแบบขายตรงเป็นหลัก และบริษัท บัซซี่บีส์ จำกัด ซึ่งดำเนินธุรกิจแพลตฟอร์ม และ บริหารจัดการจากองค์กรธุรกิจ ในด้าน CRM Management (การบริหารความสัมพันธ์ของลูกค้า)

รวมถึง การรับรู้การขาดทุนจากการลงทุนของ บริษัท แอ็ดวานซ์ อินฟอร์เมชั่น เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ AIT รวมไปถึงการรับรู้รายได้เต็มไตรมาสในส่วนของ บริษัท เดอะ เลตเตอร์ โพสต์ เซอร์วิส จำกัด (LTP), บริษัท เอ็มพ้อยท์เอ็กเพรส จำกัด (PxP) และ บริษัท เพย์โพสต์ เซอร์วิส จำกัด (Paypost) ซึ่งเป็นส่วนในกลุ่มธุรกิจ Drop-off ภายใต้ บริษัท สบาย สปีด จำกัด (SABUY Speed)

ส่วนรายได้รวมของบริษัทในไตรมาส 2 ปี 2565 สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2565 อยู่ที่ 756.0 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 368.5 ล้านบาทจากช่วงเดียวกันของปีก่อน คิดเป็นร้อยละ 95.1 และเมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมารายได้รวมได้เพิ่มขึ้น 21.0 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 2.9 ทั้งนี้รายได้ที่เพิ่มขึ้นในไตรมาสนี้ เนื่องจากยอดขายสินค้าจากตู้จำหน่ายสินค้าอัตโนมัติที่เพิ่มขึ้น และมาจากการรับรู้รายได้ของธุรกิจ Drop-off ซึ่งมีจำนวนสาขาเพิ่มขึ้นตลอดจนการปรับกลยุทธ์กับพันธมิตรหลักเช่น Kerry ในการเพิ่มรายได้รวมและรายได้ต่อสาขา

1.รายได้จากการให้บริการในไตรมาส 2 ปี 2565 อยู่ที่ 426.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 231.8 ล้านบาทจากช่วงเดียวกันของปีก่อน คิดเป็นร้อยละ 118.9 และเมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมารายได้จากการให้บริการได้เพิ่มขึ้น 38.0 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 9.8 ซึ่งเป็นผลมาจากรายได้ในส่วนของ บริษัท เดอะ เลตเตอร์ โพสต์ เซอร์วิส จำกัด (LTP), บริษัท เอ็มพ้อยท์เอ็กเพรส จำกัด (PxP) และ บริษัท เพย์โพสต์ เซอร์วิส จำกัด (Paypost) ซึ่งเป็นส่วนในกลุ่มธุรกิจ Drop-off ของ

บริษัทที่เริ่มรับรู้รายได้เต็มไตรมาส และมีการสร้างรายได้เพิ่มมากขึ้น โดย ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2565 บริษัทมีจุดให้บริการรับส่งพัสดุกว่า 13,527 จุดทั่วประเทศผ่านสาขาของบริษัท เอ.ที.พี.เฟรนด์ เซอร์วิส จำกัด, บริษัท เดอะ เลตเตอร์ โพสต์ เซอร์วิส จำกัด, บริษัท เอ็มพ้อยท์เอ็กซ์เพรส จำกัด, บริษัท เพย์โพสต์เซอร์วิส จำกัด และ บริษัท สปีดดี้เอ็กเพรส ซึ่งทั้งหมดอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของบริษัท สบาย สปีด จำกัด โดยไตรมาส 1 ปี 2564 มีจำนวนสาขาอยู่ที่ 12,100 สาขา เพิ่มขึ้น 1,427 สาขา

2.รายได้จากการขายในช่วงไตรมาส 2 ปี 2565 เท่ากับ 262.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 137.5 ล้านบาทจากช่วงเดียวกันของปีก่อน คิดเป็นร้อยละ 109.8 และเมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมารายได้จากการขายลดลง 4.3 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 1.6 อันเป็นผลมาจากตู้จำหน่ายสินค้าอัตโนมัติภายใต้ บริษัท เวนดิ้ง พลัส จำกัด (VDP) ซึ่งบริษัทได้มีการรับรู้รายได้ที่เพิ่มมากขึ้นในไตรมาสนี้ เนื่องจากยอดขายของตู้จำหน่ายสินค้าอัตโนมัติที่เพิ่มขึ้น

ทั้งนี้บริษัทมีจำนวนตู้จำหน่ายสินค้าอัตโนมัติกว่า 9,300 ตู้ โดยไตรมาส 1 ปี 2565 มีจำนวนอยู่ที่ 9,174 ตู้ เพิ่มขึ้น 126 ตู้ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากยอดขายในกลุ่มธุรกิจบัตรพลาสติกมีจำนวนลดลงจากไตรมาสก่อนจึงส่งผลให้ยอดขายในภาพรวมของไตรมาส 2 ลดลง

3.รายได้จากการให้บริการตามสัญญาในช่วงไตรมาส 2 ปี 2565 เท่ากับ 66.3 ล้านบาท ลดลง 0.9 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 1.3 จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า และเมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมารายได้จากการให้บริการตามสัญญาได้ลดลง 12.7 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 16.1 อันเป็นผลเชิงบวกจากโครงการเยียวยาในช่วงครึ่งหลังของปี 2564 ทำให้การติดตามชำระหนี้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพในไตรมาส 1/2565 ทั้งนี้เพื่อรักษาคุณภาพสินทรัพย์การผ่อนชำระตู้เติมเงินอีกด้วย

ทั้งนี้กำไรสุทธิส่วนของบริษัท สำหรับงวดไตรมาส 2 ปี 2565 สิ้นสุด ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2565 เท่ากับ 356.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ 309.2 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 656.6 และ เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมากำไรสุทธิส่วนของบริษัท เพิ่มขึ้น 249.0 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 232.1 ซึ่งสาเหตุหลักมาจากการรับรู้กำไรจากการลงทุนใน บริษัท เธียรสุรัตน์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นธุรกิจ จำหน่ายเครื่องกรองน้ำแบบขายตรงเป็นหลัก และบริษัท บัซซี่บีส์ จำกัด ซึ่งดำเนินธุรกิจแพลตฟอร์ม และ บริหารจัดการจากองค์กรธุรกิจ ในด้าน CRM Management (การบริหารความสัมพันธ์ของลูกค้า)

รวมไปถึงการรับรู้รายได้เต็มไตรมาสในส่วนของ บริษัท เดอะ เลตเตอร์ โพสต์ เซอร์วิส จำกัด (LTP), บริษัท เอ็มพ้อยท์เอ็กเพรส จำกัด (PxP) และ บริษัท เพย์โพสต์ เซอร์วิส จำกัด (Paypost) ซึ่งเป็นส่วนในกลุ่มธุรกิจ Drop-off ภายใต้ บริษัท สบาย สปีด จำกัด (SABUY Speed)

อย่างไรก็ตามก่อนหน้านี้ที่ทาง บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์วันนี้ (9 ส.ค.65) คาดรายงานกำไรสุทธิไตรมาส 2 ปี 2565 ที่ 365 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 656% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน และ 232% จากไตรมาสก่อนหน้า กำไรที่ออกมาดีกว่าที่คาด 97%

ส่วนรายได้ปรับตัวเพิ่มขึ้น 95% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน และ 3% จากไตรมาสก่อนหน้า มาจากรายได้จากการให้บริการเติบโต 119% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน และ 10% จากไตรมาสก่อนหน้า จากธุรกิจ Drop-off ที่ขยายตัว และรายได้จากการขายเพิ่มขึ้น 110% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน แต่ลดลง 2% จากไตรมาสก่อนหน้า จากการขยายตัวของตู้จำหน่ายสินค้าอัตโนมัติ รายได้จากการให้บริการตามสัญญาลดลง 1% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน และ 16% จากไตรมาสก่อนหน้า จากผลกระทบของภาพเศรษฐกิจในไตรมาสนี้มีการบันทึกค่าใช้จ่ายพิเศษเข้ามาราว 103 ล้านบาท จากการขยายตัวของธุรกิจอย่างรวดเร็วในช่วงที่ผ่านมา

โดยประเมินกำไรในไตรมาส 3 ปี 2565 เชิงอนุรักษ์นิยมเท่ากับในไตรมาส 2 ปี 2565 ซึ่งจะคิดเป็นการเติบโตระดับ 535% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน หรือเกือบ 7 เท่าตัวจากการขยายของ Ecosystem ของบริษัท รวมถึงการขยายธุรกิจในส่วนใหม่ๆ เช่นการปล่อยสินเชื่อ และการให้บริการตู้ ATM/CDM อีกทั้งคาดจะเห็นการฟื้นตัวของธุรกิจเดิมอย่างตู้เติมเงินหลังจากโควิด-19 คลี่คลาย นอกจากนี้ยังคงมองว่ากำไรจากการลงทุนจะไม่ใช่รายการเพียงครั้งเดียว แต่จะมีเข้ามาอย่างต่อเนื่องจากกลยุทธ์การดำเนินงานของบริษัทในการลงทุนและพาร์ทเนอร์กับบริษัทอื่นอย่างต่อเนื่อง

ขณะที่กำไรในครึ่งแรกปี 2565 คิดเป็น 59% ของประมาณการกำไรทั้งปี 2565 โดยผลประกอบการในไตรมาส 2 ปี 2565 น่าจะทำให้ตลาดมีความเชื่อมั่นว่าภาพกำไรทั้งปีของฝ่ายที่ทำไว้ที่ 787 ล้านบาทจะสามารถบรรลุได้แน่นอน แต่หากบริษัทสามารถรักษาระดับกำไรในครึ่งหลังปี 2565 ให้มีโมเมนตัมต่อเนื่องจากไตรมาส 2 ปี 2565 ได้คาดมีอัพไซต์อีกราว 50% อิงสมมติฐานเชิงอนุรักษ์นิยมกำไรในไตรมาส 3 ปี 2565-ไตรมาส 4 ปี 2565 เท่ากับในไตรมาส 2 ปี 2565 หรือระดับ 1.2 พันล้านบาท EPS ที่ 0.75 บาทและค่า PER จะอยู่ที่เพียง 26 เท่า แต่หากกำไรในไตรมาส 3 ปี 2565 และไตรมาส 4 ปี 2565 เติบโตจากไตรมาส 2 ปี 2565 มีโอกาสที่จะเห็นกำไรทั้งปีแตะระดับ 1.5 พันล้านบาท EPS ที่ 0.96 บาท และค่า PER จะอยู่ที่เพียง 21 เท่า ถ้าเทรดระดับ 50 เท่า จะใกล้เคียงกับราคาเป้าหมาย ยังคงแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 50 บาท

 

Back to top button