โบรกประสานเสียง “ซื้อ” HMPRO ชี้กำไร Q3 เด่น รับยอดขาย ก.ค.พุ่ง-ขยายสาขาหนุน
โบรกเชียร์ซื้อ HMPRO คาดกำไร Q3/65 โตเด่น หลังยอดขาย ก.ค.พุ่ง-รวมเมก้าโฮมหนุน พร้อมประมาณทั้งปี 65 รายได้ 6.5 หมื่นล้านบาท และกำไรสุทธิ 6.45 พันล้านบาท
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) หรือ MAKRO หลังจากประกาศผลการดำเนินงานไตรมาส 2/65 และงวด 6 เดือนแรกออกมาเติบโตอย่างแข็งแกร่ง ล่าสุดโบรกเกอร์ต่างออกบทวิเคราะห์เห็นพ้องยังคงแนะนำ “ซื้อ” MAKRO เพราะคาดว่าแนวโน้มผลประกอบการในไตรมาส 3/65 เติบโตเด่นต่อเนื่อง จากฐานต่ำในไตรมาส 3/64 หลังจากยอดขายสาขาเดิม (SSSG) ในเดือน ก.ค. 65 ขยายตัว 15-17% และคาดกำไรสุทธิปีนี้จะดีกว่าก่อนเกิดโควิดคือช่วงปี 62 เนื่องจากยอดขายในครึ่งปีหลังน่าจะเติบโตได้ดีกว่าครึ่งปีแรก แรงหนุนจากเศรษฐกิจฟื้นตัว การท่องเที่ยวกลับมาดีขึ้น รวมถึงการจัดอีเว้นท์ต่างๆ
นอกจากนี้ บริษัทยังมีการเปิดสาขาใหม่โฮมโปร 2 สาขา เมก้าโฮม 5 สาขาในปีนี้ พร้อมการปรับโครงสร้างนำเมก้าโฮมมารวมกับโฮมโปรช่วยต่อยอดทำ cross selling ด้วยกัน และการเพิ่มสัดส่วน house brand ดันอัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้น และคาดกำไรสุทธิปีนี้อยู่ที่ 5.9-6.45 พันล้านบาท เติบโต 8.5-19% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน
ด้าน บล.โนมูระ พัฒนสิน ระบุในบทวิเคราะห์ว่า ผู้บริหาร HMPRO คงเป้าปี 65 เดิม โดยเชื่อมั่นว่ากำไรปีนี้จะกลับมาสูงกว่าช่วงก่อนโควิดอย่างในปี 62 ที่มีกำไร 6.2 พันล้านบาทได้ โดยให้น้ำหนักโมเมนตั้มครึ่งหลังของปี 65 จะดีกว่าครึ่งปีแรก ตามการฟื้นตัวเศรษฐกิจที่ได้แรงหนุนมาจากภาคการท่องเที่ยวและการส่งออก
โดย HMPRO ยังคงคาดยอดขายสาขาเดิม (SSSG) ทั้งปีเพิ่มขึ้น 5 ถึง 7% หลังจากครึ่งปีแรกที่เพิ่มขึ้น 1% โดยไตรมาส 3/65 คาดฟื้นเด่นจากฐานต่ำในไตรมาส 3/64 ที่มีการล็อกดาวน์เกือบ 2 เดือนทั้งไทยและมาเลเซีย, อัตรากำไรขั้นต้นจะปรับขึ้นได้เพิ่มขึ้น 30-50% ครึ่งปีแรกเพิ่มขึ้น 40% ตาม Product margin และสัดส่วนสินค้าเฮ้าส์แบรนด์ที่จะขึ้นเป็น 20.5% จาก 19.5% ในปี 64 และรายได้ค่าเช่าจะโตขึ้น 10-15% ตามส่วนลดค่าเช่าที่ลดลงและการคลายล็อกดาวน์พื้นที่ให้บริการ โดยที่มีเพียง SG&A/sales ที่อาจจะสูงกว่าเป้าที่คาดแค่ทรงตัว 19.7% ครึ่งปีแรก 19.4% เนื่องจากมีแรงกดดันจากต้นทุนพลังงาน
นอกจากนี้ บริษัทคงแผนขยายสาขารวม 7 แห่งภายใต้งบลงทุนรวม 6 พันล้านบาทในปีนี้ แบ่งเป็น 2 สาขาโฮมโปร (มี 1 แห่งเป็นย้ายที่ตั้งสาขา) และ 5 สาขาเมก้าโฮม โดยตามแผนไตรมาส 3/65 จะเปิด 1 ร้านโฮมโปร (relocation จากสาขาในฟิวเจอร์รังสิตมาเป็น Standalone) และ 2 ร้านเมก้าโฮม (พัทยา,ฉะเชิงเทรา) ส่วนที่เหลือคาดจะเปิดในไตรมาส 4/65
บริษัทแจ้งรวมกิจการเมก้าโฮมเข้ามาอยู่ภายใต้บริษัทเดียวกับโฮมโปรตั้งแต่ต้น ก.ค.ที่ผ่านมา ทั้งนี้ผู้บริหารคาดหวังประโยชน์การปรับโครงสร้างครั้งนี้จะทำให้บริหารงานคล่องตัวมากขึ้นในหลายส่วน เช่น การต่อยอดทำ cross selling ง่ายขึ้นโดยการนำ สินค้าร้านเมก้าโฮมไปขายในร้านโฮมโปร หรือนำสินค้าโฮมโปรไปขายในร้านเมก้าโฮม, การปรับการขายออนไลน์อยู่ภายใต้ platform เดียว หรือ การเพิ่มอำนาจต่อรองการซื้อสินค้ามีมากขึ้นจากเดิมที่บางสินค้าต้องซื้อแยกกัน อย่างไรก็ดี บริษัทมองว่ายังเร็วเกินไปที่จะประเมินมูลค่าประโยชน์ที่จะเกิดขึ้น โดยให้น้ำหนักเกิดชึ้นชัดเจนในปีหน้า
ส่วนแรงกดดันจากต้นทุนพลังงานแม้มีสูงแต่ยังอยู่ในระดับยอมรับได้ โดยผู้บริหารประเมินผลกระทบจากราคาน้ำมันและก๊าซธรรมชาติที่ทรงตัวสูงจะกระทบ 2 ส่วน คือ ค่าขนส่ง (2%ของรายได้) และค่าไฟ (1%ของรายได้) แต่ก็อยู่ในระดับที่ยอมรับและจัดการได้ โดยหากเป็นค่าขนส่งมากกว่าครึ่ง (ส่วนใหญ่เป็นการขนส่งจาก DC ไปตามสาขา สามารถผลักภาระต่อได้ ส่วนค่าไฟจัดการโดยพยายามติดตั้ง solar rooftop มากขึ้น โดยอยู่ระหว่างเตรียมแผน
สำหรับ SSSG update ก.ค.ปรับขึ้นเด่นทุก format เพราะอานิสงส์ฐานต่ำในช่วงกลางก.ค.-ส.ค.ปีก่อน ผสานกับการท่องเที่ยวฟื้นตัว โดยร้านโฮมโปร (83% ของยอดขาย) มี SSSG พลิกกลับมาเป็นบวกมากกว่าโดยเพิ่มขึ้น 10% หลังจากไตรมาส 2/65 ลดลง 1.1%), ร้านเมก้าโฮม (12-13% ของยอดขาย) พลิกกลับบวกเช่นกันเพิ่มขึ้น 5% จากไตรมาส 2/65 ลดลง 5% ถึงลดลง 6% และ สาขาในมาเลเซีย (2-3% ของยอดขาย) มี SSSG ทรงตัวสูงเพิ่มขึ้น 60-65% ใกล้เคียงกับไตรมาส 2/65 ทั้งนี้ หากเทียบยอดขายรวม ก.ค.ก็ดูดีขึ้นจากเดือนก่อนหน้าด้วย
นอกจากนี้ฝ่ายวิจัยมีมุมมอง Neutral ต่อข้อมูล เพราะทิศทางการดำเนินงานยังใกล้เคียงกับที่คาดไว้ โดยยังคงเปิดสาขาและ SSSG ปีนี้ที่เพิ่มขึ้น 5 แห่ง และเพิ่มขึ้น 4% ตามลำดับ ต่ำกว่าเป้าของบริษัทเล็กน้อย แต่คาดไม่มีนัยสำคัญ เพราะสาขาที่เปิดส่วนใหญ่จะอยู่ช่วงปลายปียังสร้างยอดขายไม่เต็มที่มากนัก ดังนั้น จึงยังคงประมาณการรายได้และกำไรสุทธิปี 65 อยู่ที่ 6.5 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 7% จากงวดเดียวกันของปีก่อน และ 6.45 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 19% จากงวดเดียวกันของปีก่อน ตามลำดับ
ขณะที่บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ว่า ถึงแม้ว่า SSSG ของ HMPRO จะติดลบ 1.1% ในไตรมาส 2/65 เนื่องจากฤดูฝนปีนี้มาเร็ว แต่ SSSG ในเดือน ก.ค.65 ยังอยู่ในระดับสองหลักจากฐานต่ำในไตรมาส 3/64 ที่มีการใช้มาตรการ lockdown ทำให้ต้องปิดบริการชั่วคราวไปเกือบ 30 สาขา (30%ของจำนวนสาขาทั้งหมดในประเทศไทย)
ทว่าแม้จะไม่รวมผลกระทบจากการปิดสาขาร้านชั่วคราว โมเมนตัมยอดขายยังคงเป็นบวกอยู่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในทำเลที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว ดังนั้น เราจึงคาดว่า SSSG ของ HMPRO ในไตรมาส 3/65 น่าจะพลิกเป็นบวกได้ และทำให้ SSSG ปีนี้เป็นไปตามสมมติฐานเพิ่มขึ้น 5.0% และยังคงคาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นจะเพิ่มขึ้นถึง 30%
อีกทั้ง HMPRO ยังตั้งเป้าจะเพิ่มอัตรากำไรขั้นต้นปีละประมาณ 30% ซึ่งสอดคล้องกับสมมติฐานอัตรากำไรขั้นต้นปีนี้ 26.1% โดยจะเป็นผลมาจากการใช้กลยุทธ์ house brand ของบริษัท ซึ่งสัดส่วนยอดขายสินค้า house brand เพิ่มขึ้นเป็น 20.5% ของยอดขายรวมในครึ่งแรกปี 65 จาก 19.5% ในปี 64 และ HMPRO ตั้งเป้าสัดส่วนยอดขายสินค้า house brand ที่ 20-20.5% ในปี 65 ในขณะเดียวกัน ต้นทุนที่เพิ่มขึ้น อย่างเช่น ค่าสาธารณูปโภค (ประมาณ 1-2% ของยอดขาย) และ logistics (ประมาณ 2% ของยอดขาย) อาจจะส่งผลกระทบต่ออัตรากำไรบ้าง แต่จะยังคงอยู่ในระดับที่บริหารจัดการได้
นอกจากนี้ กำไรในปี 65 คาดว่าจะกลับไปอยู่ระดับก่อนโควิด-19 ระบาด เนื่องจากยอดขายและอัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทกำลังฟื้นตัว ผู้บริหารจึงคาดว่ากำไรสุทธิในปีนี้จะกลับไปอยู่ระดับก่อนโควิด เรายังคงประมาณการกำไรไว้เท่าเดิม โดยคาดว่ากำไรปีนี้จะเพิ่มขึ้น 17% และปี 66 จะเพิ่มขึ้น 15%
ทั้งนี้คงคำแนะนำ “ซื้อ” หุ้น HMPRO และคงราคาเป้าหมายสิ้นปี 65 เอาไว้ที่ 17.50 บาท