CPN กำไรไตรมาส 2 โต 117% ทะลุ 2.7 พันลบ. อานิสงส์ “เปิดเมือง” หนุนรายได้พุ่ง

CPN รายงานกำไรไตรมาส 2/65 โต 117% มาที่ 2.75 พันล้านบาท รับอานิสงส์ "เปิดเมือง" หนุนตัวเลขนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น ดันรายได้พุ่ง


บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ CPN รายงานผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 2 และงวดครึ่งหลังของปี 65 มีกำไรสุทธิ ดังนี้

โดยในไตรมาส 2 ปี 2565 บริษัทฯ มีกําไรจากการดําเนินงาน 3,062 ล้านบาท ปรับตัวดีขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนมากถึง 196% เนื่องจากค่าใช้จ่ายในการบริหารต่อรายได้รวมลดลงจาก 22% ในปีก่อน มาอยู่ที่ 16.7% ส่งผลให้อัตรากําไรจากการดําเนินงานดีขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนที่ 17% มาอยู่ที่ 34%

ขณะที่กําไรจากการดําเนินงานเพิ่มขึ้น 9% จากไตรมาสก่อน และมีอัตรากําไรจากการดําเนินงานคงที่ เนื่องจากสัดส่วนค่าใช้จ่ายในการบริหารต่อรายได้รวมเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจาก 16.4% ในไตรมาสก่อน มาเป็น 16.7% ในไตรมาสที่ 2 นี้ ในขณะที่รายได้อื่นๆ ลดลง 21% จากไตรมาสก่อนด้วย เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงในอัตราแลกเปลี่ยน

ด้านกําไรสุทธิ 2,313 ล้านบาทในไตรมาส 2 ปี 2565 คิดเป็นอัตรากําไรสุทธิ 25% ปรับตัวดีขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน 268% และ 7% จากไตรมาสก่อน เนื่องจากบริษัทฯ มีรายได้จากการลงทุน และส่วนแบ่งกําไรจากการลงทุนเพิ่มขึ้น ในขณะเดียวกันก็มีภาษีจ่ายเพิ่มมากขึ้นด้วยเช่นกัน

นางสาวนภารัตน์ ศรีวรรณวิทย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการเงิน บัญชี และบริหารความเสี่ยงของเซ็นทรัลพัฒนา กล่าวว่า ผลประกอบการของบริษัทฯ ในไตรมาสนี้ ภาพรวมฟื้นตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะธุรกิจโรงแรม ศูนย์อาหาร และที่อยู่อาศัย ซึ่งเป็นผลมาจากปัจจัยบวกทางเศรษฐกิจของประเทศที่ฟื้นตัวดีขึ้น ประชาชนกลับมาใช้ชีวิตตามปกติจากการผ่อนคลายมาตรการป้องกันโควิด-19 การเปิดประเทศต้อนรับนักท่องเที่ยว และมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวจากภาครัฐ ซึ่งทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มขึ้นเกือบ 3 เท่า จาก 5 แสนคนใน ไตรมาสแรก เพิ่มเป็น 1.5 ล้านคนในไตรมาสที่ 2 สำหรับทราฟฟิกของศูนย์การค้ากลับมาเกินกว่า 80% จากช่วงเวลาปกติ นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังคงควบคุมต้นทุน ค่าใช้จ่ายต่างๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อรักษาความสามารถในการทำกำไรให้ดีขึ้นอีกด้วย

สำหรับเหตุการณ์สำคัญในไตรมาสที่ 2 บริษัทฯ ได้เดินหน้าเปิดเซ็นทรัล จันทบุรี โครงการมิกซ์ยูสที่ใหญ่ที่สุดและดีที่สุดในภาคตะวันออกในเดือนพฤษภาคม 65 ตามแผน ซึ่งได้รับผลตอบรับดีเกินคาดหมาย มีทราฟฟิกในช่วงเปิดตัวสูงถึง 40,000 คนต่อวัน นอกจากนี้ ยังเดินหน้าแผนลงทุน 5 ปี มูลค่า 120,000 ล้านบาท ภายใต้กลยุทธ์ “Retail-Led Mixed-Use Development” ที่มีธุรกิจศูนย์การค้าเป็นแกนหลัก และเสริมธุรกิจศูนย์การค้าด้วยโครงการที่อยู่อาศัย อาคารสำนักงาน และโรงแรม ตั้งเป้าพัฒนาทุกธุรกิจรวมกันกว่า 180 โครงการครอบคลุมมากกว่า 30 จังหวัดทั่วประเทศภายใน 5 ปี (2022-2026) ดังนี้

ขณะศูนย์การค้ารวม 50 แห่ง: ขยายศูนย์การค้าในทุกย่าน ทุกเมือง ทุกโลเคชั่นทั่วประเทศพร้อมประกาศเปิด “เซ็นทรัล เวสต์วิลล์”(Central Westville) มูลค่ารวมกว่า 6,200 ล้านบาท เจาะทำเลราชพฤกษ์เชื่อมตรงสู่ Bangkok CBD บนที่ดิน 40 ไร่ พื้นที่ GFA93,000 ตร.ม. เพื่อยกระดับฝั่งตะวันตกของกรุงเทพฯ ให้เป็นย่าน Upper-Class Lifestyle เตรียมเปิด Q4/2566

ด้านคอมมูนิตี้มอลล์ 17 แห่ง: ขยายไปสู่ทำเลศักยภาพสูงและย่าน CBD อย่างทั่วถึงมากขึ้น โดยโครงการที่จะเปิดให้บริการในไตรมาส 4/65 นี้ ได้แก่ “Marché Thonglor” (Market Place Thonglor เดิม) ที่จะตอบโจทย์ neighborhood ที่ดีที่สุดในย่านทองหล่อ

โดยที่อยู่อาศัย 70 แห่ง : ชูจุดแข็ง “บ้านเซ็นทรัล” โครงการอยู่ติดศูนย์การค้าเซ็นทรัล และอยู่ในมิกซ์ยูสชั้นนำ พร้อมจับมือกับโครงการต่างๆ ในเครือกลุ่มเซ็นทรัลก้าวสู่การเป็น Top Developer โครงการที่อยู่อาศัยคุณภาพ ครอบคลุมทั้งแนวราบและแนวสูง โดยโครงการที่เพิ่งเปิดตัวไป ได้แก่ คอนโดมิเนียม “PHYLL Phuket” เปิดจองแล้ววันนี้ และอีก 6 โครงการใหม่เปิดในปี 2565 ได้แก่ คอนโดมิเนียม ESCENT 4 แห่งติดกับศูนย์การค้าเซ็นทรัล สุราษฎร์ธานี, โครงการที่ติดกับ Robinson Lifestyle อีก 3 จังหวัด คือ สุพรรณบุรี ฉะเชิงเทรา และตรัง และโครงการบ้านเดี่ยวแนวราบ 2 โครงการคือ นินญา ราชพฤกษ์ และนิรติ เชียงใหม่

ส่วนโรงแรม 37 แห่ง 4,000 ห้อง : ครอบคลุมทุกเซ็กเมนต์ภายใต้ 3 แบรนด์ได้แก่ Centara(Upscale), Centara One (lifestyle midscale) และ Go! Hotel (Premium Budget) โดยเตรียมเปิดโรงแรมแรก ‘Centara Korat’ ในเดือน ก.ย. 65 ตอกย้ำความสำเร็จ ‘เซ็นทรัล โคราช’ มิกซ์ยูสสมบูรณ์แบบที่สุดของอีสาน

อาคารสำนักงาน 13 แห่ง : พัฒนา The Most Preferred Workplace ของทั้งบริษัทผู้เช่าและคนทำงาน โดยปีนี้โฟกัสสำคัญ คือ การปรับโฉม centralwOrld Offices และโปรเจ็คในอนาคต ได้แก่ Central Park Office ภายในโครงการดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค เพื่อพลิกโฉมสู่ การเป็น Professional Hub ระดับโลก และโครงการภายใต้บริษัท GLAND ในย่านพระราม 9 CBD ศักยภาพสูง

นอกจากนี้ เซ็นทรัลพัฒนา ยังเข้าลงทุนร่วมกับ บริษัท เจดับเบิ้ลยูดี สโตร์ อิท จำกัด (JWD Store it!) ในสัดส่วน 30% ภายใต้เงินลงทุน 93.86 ล้านบาท เพื่อขยายเข้าสู่ธุรกิจบริการพื้นที่เก็บของให้เช่า เพื่ออำนวยความสะดวก และตอบสนองความต้องการที่เพิ่มมากขึ้นจากทั้งทางร้านค้า ผู้เช่าพื้นที่ และลูกค้าทั่วไป ซึ่งปัจจุบันมีให้บริการทั้งหมด 6 สาขา มีพื้นที่ให้บริการรวม 13,000 ตร.ม. การลงทุนครั้งนี้สอดคล้องกับกลยุทธ์บริษัทฯ ในการขยายธุรกิจไปยังอุตสาหกรรมอื่นที่เสริมแกร่งให้ธุรกิจหลัก

โดยร่วมลงทุนกับคู่ค้าที่มีความเชี่ยวชาญ ประสบการณ์ และเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมนั้นๆ อีกด้วย อีกทั้งสานต่อเป้าหมายขององค์กรในการเป็น Net Zero Company ภายในปี 2050 โดยระดมทุนผ่านการออกหุ้นกู้เพื่อโครงการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม (Green Bond) เป็นรายแรกของวงการอสังหาริมทรัพย์ และค้าปลีกไทย จำนวน 1,000 ล้านบาท อายุ 3 ปี เพื่อตอกย้ำวิสัยทัศน์ Imagining better futures for all ขับเคลื่อนสู่อนาคตด้วยการสร้างและพัฒนาพื้นที่คุณภาพ ไปพร้อมกับการดูแลผู้คน ชุมชน และสิ่งแวดล้อมให้เติบโตอย่างยั่งยืนไปด้วยกัน

ขณะที่ปัจจุบัน เซ็นทรัลพัฒนา บริหารจัดการศูนย์การค้า 38 แห่ง มีพื้นที่ให้เช่าสุทธิรวม 2.3 ล้านตารางเมตร  (ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล 16 โครงการ, ต่างจังหวัด 21โครงการ และในมาเลเซีย 1 โครงการ ศูนย์การค้าขนาดใหญ่ภายใต้กิจการร่วมค้า 1 โครงการ และคอมมูนิตี้ มอลล์ 17 โครงการ)

นอกจากนี้ ยังบริหารศูนย์อาหาร 33 แห่ง อาคารสำนักงาน 10 อาคาร โรงแรม2 แห่ง โครงการที่พักอาศัยอีก 22 โครงการ ประกอบด้วยคอนโดมิเนียมภายใต้แบรนด์ ESCENT, ESCENT VILLE, ESCENT PARK VILLE, PHYLL และ BELLE GRAND RAMA 9 และโครงการแนวราบภายใต้แบรนด์ ESCENT TOWN (ทาวน์โฮม) ESCENT AVENUE (โฮมออฟฟิศ) นินญา กัลปพฤกษ์ (บ้านแฝด) โครงการนิยาม บรมราชชนนี (บ้านเดี่ยวระดับลักชูรี่) และโครงการแนวราบหลากหลายรูปแบบภายใต้แบรนด์ “นีรติ” ที่เชียงราย บางนา และดอนเมือง นอกจากนี้ ยังมีโครงการ“ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค” big project ที่ร่วมพัฒนากับบริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) ซึ่งจะทยอยเปิดให้บริการในปี 2566-2567 เป็นต้นไป

สำหรับทิศทางธุรกิจในระยะ 5 ปี (ปี 2565-2569) บริษัทฯ เดินหน้าลงทุนพัฒนาโครงการใหม่ทั้งที่ประกาศไปแล้ว และยังไม่ได้ประกาศ ซึ่งมีทั้งโครงการอสังหาริมทรัพย์แบบผสม (Mixed-use Development)โครงการที่พักอาศัย รวมถึงแผนการปรับปรุงสินทรัพย์ที่มีอยู่ในปัจจุบันเพื่อเพิ่มมูลค่า รวมทั้งบริหารจัดการค่าใช้จ่ายและลดต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง เพื่อรักษาสภาพคล่องทางการเงิน เพื่อเตรียมพร้อมกับสถานการณ์ที่ไม่แน่นอน

รวมทั้งยังคงศึกษาโอกาสการลงทุนธุรกิจในรูปแบบอื่น การเข้าซื้อกิจการ และการลงทุนในต่างประเทศในแถบภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อาทิ มาเลเซีย และเวียดนาม รวมถึงศึกษาโอกาสการลงทุนในธุรกิจใหม่ที่มีศักยภาพการเติบโตสูงเพื่อขยายช่องทางในการสร้างรายได้ใหม่และสอดคล้องกับแผนการเติบโตตามเป้าหมายในอนาคตอย่างมั่นคงและยั่งยืน

Back to top button