III ปลื้มกำไร Q2 นิวไฮ 120 ลบ. รับดีมานด์ขนส่งเพิ่ม มั่นใจทั้งปีโตเกินเป้า
III โชว์ผลประกอบการไตรมาส 2/65 ทุบสถิติ “นิวไฮ” กำไรสุทธิ 119.1 ล้านบาท ตอกย้ำยุทธศาสตร์การดำเนินธุรกิจในฐานะผู้ให้บริการโลจิสติกส์ครบวงจร
นายทิพย์ ดาลาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทริพเพิล ไอ โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ III เปิดเผยว่า ในช่วงครึ่งปีหลังภาพรวมของธุรกิจจะยังเติบโตได้เป็นอย่างดีทั้งในแง่ของรายได้และกำไร โดยเฉพาะในไตรมาส 3/2565 ที่จะมีปริมาณความต้องการใช้บริการธุรกิจขนส่งสินค้าระหว่างประเทศทั้งการนำเข้าและส่งออกสินค้า
รวมไปถึงธุรกิจโลจิสติกส์ที่เกี่ยวเนื่องเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากเป็นช่วง High Season สอดคล้องกับข้อมูลจากสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า กระทรวงพาณิชย์ ประเมินว่าการส่งออกของไทยในครึ่งปีหลังยังขยายตัวได้ดี ด้วยปัจจัยด้านเศรษฐกิจช่วยเกื้อหนุนการส่งออก ได้แก่ ความต้องการสินค้าเกษตรและอาหารในตลาดโลกเพิ่มขึ้น และการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมยังเติบโตตามการขยายตัวของภาคการผลิตโลก แต่อาจมีความเสี่ยงเรื่องการชะลอตัวของการบริโภคจากภาวะเงินเฟ้อโลกที่พุ่งสูงขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่ออำนาจซื้อของผู้บริโภคในต่างประเทศ
“บริษัทฯ ยังเชื่อมั่นว่าจะสามารถสร้างผลประกอบการของบริษัทฯ ในปี 2565 ให้เติบโตได้ตามเป้าหมาย ทั้งจากผลการดำเนินงานที่น่าพอใจในครึ่งปีแรกที่ผ่านมา ประกอบกับการดำเนินธุรกิจตามกลยุทธ์ของการเป็นผู้ให้บริการโลจิสติกส์ครบวงจร ไม่ว่าจะเป็นการรักษาศักยภาพทางการแข่งขันของธุรกิจหลักทั้ง 4 กลุ่มที่เรามีความชำนาญในแต่ละธุรกิจอย่างแท้จริง ซึ่งเป็นการกระจายความเสี่ยงเพื่อลดการพึ่งพิงธุรกิจใดธุรกิจหนึ่ง รวมถึงแผนการขยายธุรกิจและเพิ่มแหล่งรายได้ใหม่เพื่อต่อยอดธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับโลจิสติกส์ให้ครอบคลุมความต้องการด้านโลจิสติกส์ในทุกมิติ ซึ่งเป็นแผนการเติบโตอย่างยั่งยืนภายใต้แนวคิด “Logistics and Beyond” ก้าวสู่การเป็นบริษัทโลจิสติกส์ชั้นนำของภูมิภาคเอเชียตามเป้าหมายที่วางไว้” นายทิพย์ กล่าว
โดยแนวคิดการเติบโตแบบ “Logistics and Beyond” คือแผนการดำเนินธุรกิจที่ขยายการให้บริการด้านโลจิสติกส์ที่ครอบคลุมความต้องการด้านโลจิสติกส์แบบครบวงจรอย่างแท้จริงทั้งในเชิงกว้างและเชิงลึก ไม่ว่าจะเป็นการสร้างเครือข่ายธุรกิจด้วยการจับมือพันธมิตรในระดับภูมิภาคเพื่อขยายขอบเขตการให้บริการ การพัฒนาโมเดลธุรกิจและบริการในรูปแบบใหม่ๆ ที่นอกเหนือไปจากบริการเดิมที่บริษัทฯ มีให้บริการอยู่ในปัจจุบัน การพัฒนาแพลมฟอร์ม e-Logistics เพื่อรองรับการเติบโตของตลาด e-Commerce จากการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภคภายหลังภาวะโรคระบาด รวมไปถึงการต่อยอดบริการด้านโลจิสติกส์เฉพาะทางที่บริษัทฯ เป็นผู้เชี่ยวชาญอยู่แล้ว
นายทิพย์ เผยต่อถึงแผนการนำ บริษัท เอเชีย เน็ตเวิร์ค อินเตอร์เนชั่นแนล จํากัด (ANI) ซึ่งเป็นตัวแทนขายระวางสินค้าสายการบินในภูมิภาคเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยยังคงพยายามผลักดันให้เป็นไปตามแผนที่วางไว้ โดยคาดว่าจะขอยื่นจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยภายในไตรมาส 4 ของปีนี้ จากนั้นจะยื่นจดทะเบียนเพื่อซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เป็นครั้งแรก (IPO) ราวช่วงต้นปีหน้า ซึ่งหาก ANI สามารถเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยได้สำเร็จ จะเป็นบริษัทจดทะเบียนที่ดำเนินธุรกิจเป็นตัวแทนสายการบินระดับภูมิภาครายแรกและรายเดียวในประเทศไทย สำหรับผลประกอบการ ANI ยังคงสามารถสร้างผลประกอบการได้ตามเป้าหมาย โดยครึ่งปี 2565 ที่ผ่านมามีรายได้จากการให้บริการกว่า 2,759 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิกว่า 245 ล้านบาท
โดยมีปริมาณการขนส่งสินค้าทางอากาศที่ทางกลุ่มให้บริการมากกว่า 120,000 ตันในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา และคาดว่า ANI จะสร้างผลงานได้ดีต่อเนื่องทั้งปี นอกจากนี้ จากมาตรการเดินทางเข้าและออกที่เข้มงวดของประเทศจีน ส่งผลให้เที่ยวบินที่มีผู้โดยสารของสายการบินต่างๆ ยังไม่สามารถเปิดให้บริการได้ตามปกติ จึงเป็นโอกาสที่ดีต่อธุรกิจให้บริการเที่ยวบินแบบขนส่งสินค้าของ ANI
นายทิพย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ผลประกอบการไตรมาส 2 ที่ผ่านมาของทริพเพิล ไอ นั้นสูงสุด ทั้งที่เป็นไตรมาสที่มีปริมาณการขนส่งสินค้าต่ำสุดเมื่อเทียบกับไตรมาสอื่นของปี สำหรับทิศทางผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลังประเมินว่า สถานการณ์ต่างๆ จะดีขึ้น ส่งผลให้มีปัจจัยบวกต่อุรกิจเพิ่มขึ้น ทั้งการเดินทางทั่วโลกที่มีการผ่อนคลายเปิดประเทศมากขึ้น ส่งผลให้ปริมาณเที่ยวบินขนส่งผู้โดยสารระหว่างประเทศปรับตัวเพิ่มขึ้น สถานการณ์ตู้คอนเทนเนอร์ขาดแคลนคลี่คลายลงทำให้บริษัทฯ มีพื้นที่ระวางสินค้าให้บริการได้มากขึ้น และราคาเชื้อเพลิงที่ลดลง ในส่วนของสถานการณ์ตึงเครียดระหว่างประเทศจีนและไต้หวันคาดว่ายังไม่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจมากนัก
สำหรับสัดส่วนรายได้ของบริษัท แบ่งเป็น ธุรกิจขนส่งสินค้าทางอากาศ 41.7%, ธุรกิจขนส่งสินค้าทางทะเล 4.4%, ธุรกิจบริหารจัดการโลจิสติกส์ 29.8% และธุรกิจโลจิสติกส์สำหรับสินค้าอันตรายและเคมีภัณฑ์ 24.1%