AWC เปิดงบ Q2 พลิกกำไร 776 ลบ. รับเปิดประเทศ หนุนรายได้บริการพุ่ง

AWC เปิดงบไตรมาส 2/65 พลิกกำไร 776 ล้านบาท รับรายได้บริการเพิ่มขึ้น และการออกมาตรการผ่อนคลายล็อกดาวน์ ส่วนงวด 6 เดือนแรกกำไร 1.4 พันล้านบาท


บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC รายงานผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 2 และงวด 6 เดือนมีกำไรสุทธิ ดังนี้

ทั้งนี้ บริษัทมีรายได้รวมตามงบการเงินในไตรมาส 2/2565 เท่ากับ 3,206 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 107.4 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ซึ่งปัจจัยสนับสนุนได้แก่สถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ที่ปรับตัวดีขึ้น โดยการออกมาตรการผ่อนคลายการล็อกดาวน์รวมถึงนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล เป็นต้น ทั้งนี้ บริษัทมีการเติบโตของรายได้ในทุกกลุ่มธุรกิจรวมถึงอัตราการเข้าพักในโรงแรมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

นางวัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC เผยผลประกอบการไตรมาส 2/2565 มีรายได้รวมตามงบการเงิน 3,206 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 107.4 คิดเป็นกำไรสุทธิตามงบการเงิน 776 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นมากกว่าร้อยละ 100 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งผลการดำเนินงานของบริษัทเติบโตขึ้นอย่างเด่นชัด

โดยเป็นผลมาจากกลยุทธ์และการเตรียมพร้อมขององค์กรรับการเปิดประเทศที่ดำเนินมาอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับการส่งเสริมการท่องเที่ยวไทยและมาตรการผ่อนคลายจากภาครัฐที่ช่วยกระตุ้นให้ประชาชนกลับมาใช้ชีวิตแบบปกติ นอกจากนี้กำไรที่เพิ่มขึ้นยังเป็นผลมาจากการเพิ่มมูลค่ายุติธรรมของทรัพย์สินของบริษัทด้วยเช่นกัน

“ผลประกอบการไตรมาสที่ 2/2565 บริษัทมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องในทุกกลุ่มธุรกิจจากทรัพย์สินดำเนินงานที่แข็งแกร่ง สามารถตอบสนองความต้องการลูกค้า รวมถึงการบริหารจัดการต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งช่วยสร้างความมั่นคงทางการเงินให้แก่ AWC โดยในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 บริษัทมีกำไรสุทธิทั้งสิ้น 1,422 ล้านบาท เพิ่มขึ้นมากกว่าร้อยละ 100 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยกำไรสุทธิที่เพิ่มขึ้นเป็นผลมาจากการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของกำไรจากการดำเนินงานของกลุ่มธุรกิจโรงแรมที่เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดมากกว่าร้อยละ 100 ใน 6 เดือนที่ผ่านมา และยังมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องจากการเปิดประเทศ และการเตรียมต้อนรับนักเดินทางจากทั่วโลกที่เพิ่มมากขึ้นอย่างแข็งแกร่ง” นางวัลลภา กล่าว

โดยกลุ่มธุรกิจโรงแรมและการบริการมีการเติบโตเพิ่มขึ้นในทุกเซ็กเมนต์ โดยเฉพาะโรงแรมกลุ่มลักซ์ชูรี ที่ได้รับอานิสงส์จากมาตรการเปิดประเทศอย่างเต็มรูปแบบ ทำให้มีนักท่องเที่ยวต่างชาติมาใช้บริการโรงแรมมากขึ้น และภาครัฐยังกระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศด้วยแคมเปญต่างๆ อย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้รายได้ห้องพักต่อห้องที่มีทั้งหมด (RevPAR) ในไตรมาส 2/2565 เติบโตขึ้นร้อยละ 302 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า และมีราคาห้องพักเฉลี่ยต่อคืน (Average Daily Rate: ADR) ที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 48 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นราคาห้องพักเฉลี่ยต่อคืนที่เพิ่มขึ้นมาเกือบใกล้เคียงกับช่วงก่อนการแพร่ระบาด COVID-19 นอกจากนั้น การเติบโตของงานประชุมสัมมนาแบบก้าวกระโดดในไตรมาส 2 ที่ผ่านมา ทำให้โรงแรมกลุ่มประชุมสัมมนาของบริษัทฯ มีรายได้เติบโตถึงร้อยละ 407 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าเช่นกัน

สำหรับกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ ประกอบไปด้วยธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการค้าเเละธุรกิจอาคารสำนักงาน (Retail & Commercial) สามารถกลับมาเติบโตได้ดีเช่นเดียวกัน เนื่องจากประชาชนเริ่มกลับเข้ามาใช้บริการในศูนย์การค้าเพื่อจับจ่ายใช้สอยเพิ่มมากขึ้น อาทิ การเพิ่มขึ้นของลูกค้าเข้าพื้นที่ในโครงการเอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ ในไตรมาส 2/2565 สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าถึงกว่าร้อยละ 220

โดยบริษัทได้มีการวางแผนพัฒนาเพื่อเสริมศักยภาพและยกระดับการบริการต่างๆ ให้ตอบสนองทุกไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนแปลงของผู้บริโภคอยู่เสมอ โดยผสานความร่วมมือระหว่างกลุ่มธุรกิจไลฟ์สไตล์ในเครือ ซึ่งเป็นจุดแข็งที่ทำให้บริษัทสามารถส่งเสริมการเติบโตได้เป็นอย่างดี สำหรับธุรกิจอาคารสำนักงานยังคงสร้างกระแสเงินสดได้อย่างมั่นคงด้วยการดึงดูดผู้เช่าใหม่ซึ่งเป็นองค์กรธุรกิจระดับโลกเข้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยมีภาพรวมอัตราค่าเช่าต่อตารางเมตรต่อเดือน (Average Rent Rate) ในไตรมาส 2/2565 สูงขึ้นร้อยละ 9.3 เมื่อเทียบกับไตรมาส 2/2564 และยังสามารถรักษาผู้เช่ารายเดิมได้ถึงร้อยละ 96 ซึ่งเป็นผลมาจากอาคารคุณภาพเกรด A ที่ตั้งอยู่ในย่านธุรกิจ (CBD) และมีการพัฒนาระบบเทคโนโลยีเพื่ออำนวยความสะดวกและปลอดภัยของผู้เช่าในยุคดิจิทัลอยู่เสมอ

ทั้งนี้ AWC ยังคงเดินหน้าพัฒนาโครงการคุณภาพเพื่อรองรับการเติบโตอย่างมั่นคงและช่วยเสริมศักยภาพให้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทยหลังมาตรการเปิดประเทศ ด้วยการเปิดโรงแรมมีเลีย เชียงใหม่ ซึ่งเป็นโรงแรมจากเครือมีเลียแห่งแรกในภาคเหนือเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ทำให้จำนวนห้องพักทั้งหมดของบริษัท ในปัจจุบันรวมเป็น 5,201 ห้อง ซึ่งคิดเป็นการเติบโตถึงร้อยละ 61 จากจำนวนห้องพักก่อนเกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19

นอกจากนั้น บริษัทยังได้ร่วมมือกับพันธมิตรระดับโลกมากมายเพื่อเสริมความแข็งแกร่งของธุรกิจอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน อาทิ การลงนามสัญญากับเครืออินเตอร์คอนติเนนตัล โฮเต็ลส์ กรุ๊ป หรือ IHG เพื่อพัฒนาโรงแรม คิมป์ตัน หัวหิน รีสอร์ท คาดเปิดบริการในปี 2567

โดยบริษัทเชื่อมั่นว่าอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทยมีความแข็งแกร่งและจะเติบโตได้ดีต่อเนื่องในระยะยาว บริษัทจึงเดินหน้าเสริมศักยภาพการท่องเที่ยวของประเทศไทย เพื่อให้เป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวระดับโลก ด้วยการร่วมมือกับเครืออินเตอร์คอนติเนนตัล โฮเต็ลส์ กรุ๊ป หรือ IHG จะเพิ่มความหลากหลายให้กับพอร์ตโฟลิโอด้านธุรกิจโรงแรมและการบริการ พร้อมด้วยคุณภาพและมาตรฐานการบริการระดับโลก เพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์ลูกค้าในรูปแบบใหม่ที่พิเศษพร้อมตอบรับการเปิดประเทศอีกครั้ง

ทั้งนี้ “คิมป์ตัน” ถือเป็นแบรนด์ที่มีความน่าสนใจของ IHG ทั้งในแง่ของการออกแบบที่มีสไตล์เป็นเอกลักษณ์ รวมถึงห้องอาหารและบาร์ที่มีชื่อเสียงระดับโลก ดังนั้นจึงมีความเหมาะสมกับเมืองท่องเที่ยวอย่างหัวหินเป็นอย่างมาก อีกทั้งเป็นโอกาสดีในการช่วยยกระดับความเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมด้านไลฟ์สไตล์ให้กับหัวหินมากขึ้นอีกด้วย การผสานพลังกับพันธมิตรระดับโลกอย่างกลุ่มโรงแรมและรีสอร์ทเครืออินเตอร์คอนติเนนตัล (IHG) จะช่วยยกระดับมาตรฐานของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศไทยให้เติบโตได้อย่างต่อเนื่อง เพื่อมอบประสบการณ์ใหม่ที่น่าประทับใจและมีเอกลักษณ์ให้นักท่องเที่ยวทั้งจากในและต่างประเทศ

โดยคิมป์ตัน หัวหิน รีสอร์ท เป็นโรงแรมคิมป์ตันแห่งที่สี่ในประเทศไทย ซึ่งมีห้องพักกว่า 124 ห้อง และเตรียมเปิดให้บริการโรงแรมในปี 2567 โดยโรงแรมตั้งอยู่บริเวณริมชายหาดที่สวยงาม ซึ่งแขกผู้เข้าพักสามารถเลือกใช้บริการห้องอาหารและบาร์ทั้งสี่แห่งของทางโรงแรมได้อย่างเต็มอิ่ม อีกทั้งยังมีสระว่ายน้ำ ฟิตเนส สปา และพื้นที่สำหรับจัดการประชุมหรือกิจกรรมต่างๆ แนวไลฟ์สไตล์ เหมาะสำหรับการพักผ่อนแบบครอบครัวและยังสามารถนำสัตว์เลี้ยงมาเข้าพักได้

และการลงนามกับพันธมิตรจากสาธารณรัฐประชาชนจีน เพื่อเพิ่มช่องทางการค้าส่งของ เออีซี เทรดเซ็นเตอร์ รวมถึงการร่วมจัดตั้งบริษัทร่วมทุน (Joint Venture) กับหน่วยงานด้านการลงทุนระดับโลก เพื่อลงทุนในธุรกิจโรงแรมที่มีศักยภาพในแหล่งท่องเที่ยวชั้นนำในประเทศไทย

“AWC ยังคงมุ่งมั่นดำเนินธุรกิจภายใต้แผนกลยุทธ์การพัฒนาอย่างยั่งยืน ผ่านกรอบการดำเนินงาน BETTER PLANET, BETTER PEOPLE, BETTER PROSPERITY โดยในไตรมาสที่ผ่านมามีความยินดีและภูมิใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้รับความเชื่อมั่นจากธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) จัดสินเชื่อพร้อมสัญญาอนุพันธ์เชื่อมโยงกับความยั่งยืน (Sustainability Linked Loan and ESG Linked Interest Rate Swap) ซึ่งนับเป็นครั้งแรกในอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ของประเทศไทย อีกทั้งยังได้รับสินเชื่อสีเขียว (Green Loan) จากธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) เพื่อนำไปพัฒนาและสนับสนุนโครงการด้านสิ่งแวดล้อมในอสังหาริมทรัพย์ของ AWC ซึ่งความสำเร็จทั้งหมดนี้ถือเป็นอีกก้าวสำคัญขององค์กรในการดำเนินธุรกิจตามแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืน เพื่อร่วมสร้างคุณค่าในระยะยาวร่วมกับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกภาคส่วนต่อไป” นางวัลลภา กล่าว

Back to top button