ครม. เคาะลดภาษีประจำปี “แท็กซี่-สามล้อ-มอไซค์รับจ้าง” 90% นาน 1 ปี
ครม. ไฟเขียว ลดภาษีประจำปีระหว่างวันที่ 1 ต.ค. 65 ถึง 30 ก.ย.66 ให้แท็กซี่-สามล้อ-มอเตอร์ไซค์รับจ้าง ลง 90% หวังช่วยบรรเทาภาระค่าใช้จ่าย
นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติหลักการร่าง พ.ร.ฎ.ลดภาษีประจำปี สำหรับรถยนต์รับจ้าง รถยนต์รับจ้างสามล้อ และรถจักรยานยนต์สาธารณะ ตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ พ.ศ. …. เพื่อช่วยลดต้นทุนการประกอบการรถสาธารณะทั้งรถยนต์รับจ้าง (แท็กซี่) รถยนต์รับจ้างสามล้อ และรถจักรยานยนต์สาธารณะ บรรเทาภาระค่าใช้จ่ายจากราคาพลังงานโลกมีการปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากวิกฤติพลังงานรอบใหม่ทั้งน้ำมันเชื้อเพลิงและก๊าซธรรมชาติ จากสงครามการสู้รบระหว่างรัสเซียและยูเครนกระทบต่อเศรษฐกิจไทยที่พึ่งพาการนำเข้าพลังงานถึง 75% ส่งผลให้ต้นทุนการประกอบการของรถสาธารณะเพิ่มสูงขึ้น กระทบต่อรายได้ของผู้ประกอบอาชีพ อาจจะไม่เพียงพอต่อการดำรงชีวิต
ทั้งนี้ ร่างพ.ร.ฎ.ฯ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ลดอัตราภาษีรถประจำปีสำหรับรถยนต์รับจ้าง รถยนต์รับจ้างสามล้อ และรถจักรยานยนต์สาธารณะ ที่ครบกำหนดเสียภาษีรถประจำปีระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม 65 ถึง 30 กันยายน 66 ลง 90% ของอัตราภาษีประจำปีท้าย พ.ร.บ. รถยนต์ พ.ศ. 2522 ดังนี้
1.รถยนต์รับจ้าง (รถแท็กซี่) น้ำหนักรถ 1,300 กิโลกรัม เสียภาษี 68.50 บาท จากเดิม 685 บาท, น้ำหนักรถ 2,000 กิโลกรัม เสียภาษี 106 บาทจากเดิม 1,060 บาท
2.รถยนต์รับจ้างสามล้อ น้ำหนัก 500 กิโลกรัม เสียภาษี 18.50 บาท จากเดิม 185 บาท
3.รถจักรยานยนต์สาธารณะ (อัตราภาษีจะคิดต่อคัน) เสียภาษี 10 บาท จากเดิม 100 บาท
“มาตรการลดอัตราภาษีในครั้งนี้ ทำให้รัฐสูญเสียรายได้ประมาณ 70.25 ล้านบาท หรือคิดเป็น 0.197% ของภาษีของรถทุกประเภททั้งหมดที่จัดเก็บ จึงส่งผลกระทบต่อรายได้ของ กทม. และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) เพียงเล็กน้อย แต่สามารถช่วยบรรเทาความเดือดร้อนและภาระค่าใช้จ่ายของผู้ประกอบอาชีพขับรถสาธารณะได้อีกมาตรการหนึ่ง” นายธนกร กล่าว
สำหรับที่ผ่านมา รัฐบาลได้ดำเนินการเยียวยาโครงการช่วยเหลือกลุ่มอาชีพ รถแท็กซี่ และรถยนต์สาธารณะที่มีอายุเกิน 65 ปี ที่อยู่ในกลุ่มแรงงานนอกระบบและไม่เป็นผู้ประกันตน ตาม ม.33 ม. 39 และม. 40 ในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด 29 จังหวัด ไปแล้ว รวม 16,694 คน (แท็กซี่ จำนวน 12,918 คน และวินมอเตอร์ไซค์ จำนวน 3,776 คน) โดยสนับสนุนเงินช่วยเหลือค่าของชีพคนละ 5000 บาท/เดือน รวม 16,694 คน ภายใต้กรอบวงเงิน 166.94 ล้านบาทแล้ว